วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แนวทางปฏิบัติสู่ความสงบสุข

1. ฝึกสมาธินั่งเงียบๆ ทุกวัน นี่เป็นวิธีตรงที่จะทำให้ใจของเราสงบ และควบคุมจิตของเราเพื่อเราจะได้มีความสงบสุข

2. ส่งพลังแห่งความเมตตาให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายตลอดทั้งวัน

3. ก่อนนอนทุกคืน ใช้เวลา 2-3 นาที ตรึกตอรงสิ่งที่เราปฏิบัติมาตลอดทั้งวัน แล้วตั้งใจว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้น

4. ควบคุมความโกรธ จำไว้เสมอว่า เมื่อมีคนมาด่าว่าเรา เขากำลังช่วยเหลือเราให้มีประสบการณ์ที่ด จะฝึกการควบคุมตัวเอง เขาเป็นอาจารย์ของเรา

5. ท่องชื่อผู้ที่เราศรัทธาหรือคำที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะช่วยให้เรารู้สึกสบายใจ

6. ร้องเพลงที่ช่วยยกจิตวิญญาณของเราให้ดีขึ้น หรือเพลงที่เต็มไปด้วยคุณค่าของความเป็นมนุษย์

7. แสวงหาเพื่อนที่ดี

8. เรียนรู้ที่จะให้สันติแก่คนอื่น ปรนนิบัติและช่วยเหลือคนอื่นให้เขาสบายใจ

9. ฝึกการให้ความเงียบ พูดคำพูดที่เบาๆ และสุภาพอ่อนโยน พูดแต่สิ่งที่ดี มีสาระ ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็ให้นิ่งไว้

10. ฝึกการหายใจ
หายใจช้าๆ ลึกๆ และสม่ำเสมอตลอดเวลา และให้เราตื่นตัวตลอดเวลา ถ้ามีสิ่งใดมารบกวนการหายใจของเรา ความสงบสุขมีความสัมพันธ์กับระบบหายใจมาก คนเจ้าอารมณ์และคนที่โกรธง่าย มักจะหายใจเร็ว แต่คนที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจะรู้สึกสงบสุขและเต็มไปด้วยความสงบ จะหายใจช้าๆ ซึ่งการหายใจช้าๆ ลึกๆ และสม่ำเสมอจะช่วยให้เราสามารถบังคับตนเองได้ มีความสงบและมีความสุข

11. สะสมเพิ่มพูนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในชีวิตประจำวันของเรา

สิ่งที่กล่าวถึงนั้นเป็นเพียงบางวิธีที่จะช่วยให้เรามีความสงบสุข เราควรจะวิเคราะห์ตัวเอง และทำรายการโดยเขียนออกมาว่าอะไรที่เหมาะสมกับเรา โปรดจำไว้ว่า ถ้าเราจะสร้างสันติภาพในโลกนี้ เราต้องเริ่มต้นด้วยตัวของเราก่อน

เคล็ดลับของการกระทำ

มนุษย์เราไม่ควรอยู่นิ่งเฉย เราควรปฏิบัติหน้าที่ของเรา และทำงานของเราให้ดีที่สุด ตอนนี้มาถึงตอนที่สำคัญคือ เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ผลของการกระทำนั้นกลับมาถึงเรา เราจะเห็นกันอยู่บ่อยๆ แล้วว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบมากก็มักจะมีเรื่องกลุ้มใจมาก การกระทำของเขาทำให้เกิดกรรมที่กลับมาถึงเขา ซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความสุข บางครั้งก็เกิดความทุกข์ แต่ส่วนใหญ่มักจะทำให้เกิดปัญหาที่ทำให้ปวดหัว กลุ้มอกกลุ้มใจอยู่บ่อยๆ มนุษย์ยิ่งทำงานยิ่งมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็ยิ่งมัดตัวเองแน่นขึ้น จนกระทั่งเราไม่มีความอิสระเหลืออยู่เลย ทำอย่างไรเราจึงจะมีความอิสระจากการกระทำของเราอย่างแท้จริง

คำตอบนั้นง่ายมาก หากว่าเราเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันแล้ว เราก็จะสามารถเป็นแบบพระพุทธองค์ คือเราสามารถที่จะกระทำสิ่งใดๆ โดยที่ไม่มีผลของกรรมกลับมามัดตัวเรา เราจะมีความอิสระอย่างเต็มที่ เราจะสร้างนิพพานหรือสวรรค์ในตัวเรา ในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ ความสุขที่แท้จริงจะเป็นเพียงทรัพย์สมบัติของเรา ซึ่งแท้จริงแล้วทรัพย์สมบัตินี้เป็นของเราทุกคน เพียงแต่รอให้เราไปเอามาเท่านั้น

คำตอบก็คือ จงอย่ายึดมั่นในผลที่เราจะได้จากการกระทำของเรา

เคล็ดลับของการกระทำก็มีเพียงแค่นี้ เราลองพิจารณากันเสียหน่อยว่า คำตอบนี้มีความหมายอย่างไรบ้าง และทำไมมันจึงให้ความอิสระแก่เรา เราได้เห็นกันแล้วว่า เจตนานั้นคือกรรมดีหรือไม่ดี ถ้าเจตนานั้นเห็นแก่ตัวก็จะเป็นกรรมไม่ดี ในการกระทำสิ่งใดก็ตาม หากว่าเรามีเจตนาที่จะได้ผล ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจากการกระทำนั้น ก็จะเป็นการสร้างกรรม ซึ่งจะต้องมีผลกลับมามัดตัวของเรา การมีเจตนาที่จะได้ผลก็คือการยึดมั่นในผลนั่นเอง ดังนั้นเคล็ดลับของการกระทำก็คือ เราจะทำสิ่งใดก็ได้ แต่จงอย่าต้องการสิ่งตอบแทนจากผลของการกระทำของเรา เมื่อเสร็จแล้วก็ให้ปล่อยวางเสีย จงอย่าไปยึดมั่น เราทำงานเพราะเราเห็นว่าเราควรทำ เพราะเราเห็นว่าเป็นหน้าที่ของเรา ไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น การยึดมั่นหรือความต้องการผลตอบแทนนั้น เป็นสิ่งที่จะนำความทุกข์มาสู่ตัวเรา เพราะการยึดมั่นนั้นเป็นการทำให้เราเป็นทาสของผลของการกระทำ หากว่าเราหวังผลอย่างหนึ่ง แต่แล้วเรากลับไม่ได้ตามที่เราต้องการ เราก็เกิดความทุกข์ แน่แหละคือการเป็นทาส เราจะไม่มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่หากว่าเราไม่ยึดมั่นแล้ว ถ้าผลของการกระทำออกมาดีหรือไม่ดี จิตใจของเราก็จะสงบ สบาย ไม่มีความทุกข์ เราได้หลุดพ้นจากการกระทำของเราแล้ว

มนุษย์เราทำอะไรโดยที่หวังผลตอบแทนเป็นส่วนใหญ่ เราค้าขายกันตลอดเวลา เราค้าขายความรัก เราค้าขายการงาน แม้กระทั่งศาสนาเราก็ค้าขาย เราต้องการสิ่งตอบแทนอยู่ตลอดเวลา เราจึงมีความทุกข์กันอย่างมากมายในโลก อย่างเช่นความรัก เราทุกคนก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่แล้วทำไมหลายคนจึงมีความทุกข์ หากว่าเรามีความรักจริง เราจะไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากคนที่เรารักเลย เราเพียงแต่มีความสุขในความสุขของเขา เขาจะรักเราหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากว่าเรารักจริง เขาจะให้อะไรเราหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ตัวอย่างของการไม่ยึดมั่นเช่นนี้มีอยู่ในโลกของเรา เช่นในสมัยที่พระอาจารย์โยคะนันต์ยังศึกษาอยู่กับอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์โยคะนันต์ยังใจร้อน ตั้งใจจะไปแสวงหาความรู้ที่ภูเขาหิมาลัย แต่พอไปจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อะไร และยังสำนึกผิดรู้ตัวว่า การแสวงหาความรู้จากบุคคลที่รู้นั้นดีกว่าที่จะไปหาจากภูเขา ดังนั้นจึงเดินทางกลับมาหาอาจารย์ แล้วกราบขออภัย กลัวว่าอาจารย์จะโมโหและผิดหวัง แต่อาจารย์ตอบว่า...
“ความโมโหนั้น เกิดขึ้นจากความหวังความต้องการ ฉันไม่ได้มีความต้องการหรือหวังสิ่งใดจากผู้อื่นเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเธอจะทำอะไร ก็จะไม่เป็นการโต้แย้งกับความต้องการของฉัน ฉันจะไม่บังคับเธอเพื่อประโยชน์ของฉันเลย ฉันมีความสุขในความสุขที่แท้จริงของเธอ” นี่แหละ ถ้าเราไม่ได้หวังอะไรเลย เราก็จะไม่มีวันผิดหวัง

ความรักความเมตตาจะเป็นพลังที่ช่วยให้ทำงานโดยไม่ยึดมั่นในผลอบแทนได้ดีที่สุด ทำไมบิดามารดาจึงทำงานและสิ่งต่างๆ เพื่อลูกได้ โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทำไมจึงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูก ทำไมบางครั้งจึงเสี่ยงอันตรายเพื่อลูกได้โดยที่ไม่มีความกลัว เช่น ถ้าเห็นเสือวิ่งมาจะทำร้ายลูกของเรา พ่อแม่ก็จะวิ่งออกไปช่วยลูกโดยที่ไม่คิดถึงชีวิตของตัวเอง ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะท่านต้องการอะไรตอบแทนจากลูกหรือ? เปล่าเลย พ่อแม่ทำเช่นนั้นเพราะความรักอันบริสุทธิ์ เพราะความเมตตา ท่านมีความสุขในความสุขของลูก ความรักและเมตตานี่เองเป็นพลังที่สำคัญในการช่วยให้เราทำงานมากมายโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ดูบุคคลอย่างพระพุทธเจ้าพระเยซู เป็นต้น เพราะความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ จึงได้เสียสละทุกอย่างเพื่อเรา ทำงานโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และผลก็คือการเปลี่ยนชีวิตของมนุษย์เป็นล้านๆ คน

การที่เราไม่หวังผลตอบแทนเลยนั้น บางคนรู้สึกหมดกำลังใจ บางคนถึงกับไม่ทำงานเลย เนื่องจากไม่มีความหวังที่จะได้อะไร จงอย่าหมดกำลังใจ จงลุกขึ้นทำงาน ปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ให้เข้าใจว่า การทำงานนั้นมีประโยชน์ ถึงแม้ว่าตัวเราเองไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร แต่การทำงานของเรามีส่วนที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนก้าวหน้า มนุษย์ทุกคนก็เหมือนส่วนประกอบต่างๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งเครื่องจักรจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อส่วนประกอบแต่ละส่วนทำงานไดดี ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็จะมีผลสะท้อนไปยังผู้อื่น เรามีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดเวลา การกระทำของเรา นอกจากจะเป็นประสบการณ์สำหรับเราแล้ว ก็ยังสร้างประสบการณ์ให้ผู้อื่นได้เรียนรู้และก้าวหน้า ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะอยู่ในชั้นสูงหรือชั้นต่ำ การกระทำของเราก็จะสามารถช่วยให้ผู้อื่นได้ก้าวหน้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจงอย่าท้อใจ ทำงานเรื่อยไป แต่ระวังอย่าไปยึดมั่นในผลของการกระทำนั้น

ทำหน้าที่

เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีหน้าที่ต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ในตอนแรกเราก็ทำหน้าที่ในฐานะลูกต่อบิดามารดา เมื่อเราเติบโตขึ้นและเป็นนักเรียนนักศึกษา ก็มีหน้าที่เล่าเรียน เมื่อถึงวัยทำงาน ก็มีหน้าที่ต่างๆ มากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา และเมื่อเราแต่งงานมีครอบครัว ก็ยิ่งมีหน้าที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ไม่ว่าเราจะมีหน้าที่อะไร ขอให้เราปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยความเต็มใจและจริงใจ และจงยิ้มแย้มแจ่มในอยู่เสมอ หากเราเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา เราก็มีหน้าที่ในการเรียน ท่องหนังสือ พยายามเพิ่มพูนความรู้ความสามารถของเราออกไปให้กว้าง จงทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราต้องตัดการเที่ยวเตร่และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาของเรา หากว่าเรามีหน้าที่หลายอย่าง เราก็ต้องหัดแบ่งเวลาให้ดี เมื่อถึงเวลาทำหน้าที่อย่างหนึ่งก็ให้ปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด โดยที่เราจะไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด เมื่อถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนหน้าที่ ก็ให้ลืมหน้าที่อื่นเสีย แล้วมาตั้งใจทำงานชิ้นใหม่ของเรา จงทำงานให้หนักอยู่ตลอดเวลา อย่าเกียจคร้าน เราจะเห็นว่าคนที่เกียจคร้านจะอ่อนเพลียง่าย และเบื่องานของเขาอย่างรวดเร็ว และบุคคลพวกนี้จะหาเวลาว่างยากนัก เขามักจะมีข้ออ้างอยู่เสมอว่า เขามีงานเยอะเกินไป ส่วนผู้ที่ขยันจริง จะเป็นคนที่มีทั้งกำลังกายและกำลังใจอย่างมากมาย เขาไม่มีเวลาที่จะคิดว่าเขาเหนื่อยหรือไม่ เขาจะเป็นคนที่มีความเพลิดเพลินในงานของเขา ไม่เบื่องานง่าย ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานมากมายหลายอย่าง แต่ถ้ามีหน้าที่รับผิดชอบเข้ามาใหม่ เขาก็ไม่ปฏิเสธ และก็จะหาเวลาทำหน้าที่ใหม่ของเขาจนได้

ความเกียจคร้านหรือความขยันนั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา ดังนั้นเพื่อเป็นการฝังความขยันในจิตใจของเรา ให้เรานึกในใจหรือพูดออกมาดังๆ หลายๆ ครั้ง ทุกวันว่า...
“วันนี้ฉันจะเป็นคนขยัน ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างให้ดีที่สุด”
พูดอย่างนี้บ่อยๆ กับตัวเอง เราจะเริ่มเป็นคนขยันมากขึ้น และจะปฏิบัติหน้าที่การงานของเราได้ดีขึ้นด้วย

ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต่ำหรือไม่ดีทั้งนั้น หน้าที่ทุกอย่งมีความสำคัญ และเราต้องไม่รังเกียจหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่อะไรก็ตาม หากเราเป็นคนกวาดถนน เราก็กวาดให้สะอาดที่สุด ด้วยความเต็มใจและด้วยความเพลิดเพลิน การที่เราเป็นคนกวาดถนนที่มีความเต็มใจและเพลิดเพลินนั้น ดีกว่าการที่เราเป็นมหาเศรษฐีที่เต็มไปด้วยความทุกข์ในใจ เพราะต้องคอยวิตกกังวลเรื่องทรัพย์สมบัติของเรา คนเราจะเป็นคนต่ำหรือคนสูงนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นต่ำหรือสูง แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการทำงาน ขึ้นอยู่กับความเต็มใจ ความขยันในการทำหน้าที่ของเรา สำหรับคนที่ชอบบ่น งานทุกชนิดก็จะเป็นงานต่ำสำหรับเขาทั้งนั้น แต่สำหรับคนที่มีจิตใจที่สวยงาม รักที่จะทำหน้าที่ของเขา เขาก็จะถือว่างานทุกชนิดเป็นงานที่สูง และเขาก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติอย่างยิ่ง ที่เขาได้มีโอกาสทำหน้าที่นั้น

หลายคนชอบคิดว่าตัวเองมีความสามารถ เป็นผู้ที่เก่งและวิเศษ เขาจึงคิดว่างานของเขาเป็นงานต่ำ เขาควรจะเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เขาควรจะเป็นเจ้านาย เป็นรัฐมนตรี หรือบางคนยังคิดว่าเขาควรเป็นกษัตริย์ หากเราไม่พอใจในงานของเรา เราไม่เต็มใจทำ แสดงว่าเรายังปฏับัติหน้าที่ของเราได้ไม่ดี หากว่าเรายังทำหน้าที่ที่เราเรียกว่าต่ำยังไม่ดีแล้ว เราก็จะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ได้อย่างไร เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเสียก่อน เราจึงจะแสดงตัวเองให้เห็นว่า เราพร้อมแล้วที่จะได้รับหน้าที่ที่มีความรับผิดชอบมากกว่านี้ และถึงแม้ว่าเราได้ไปเป็นรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ เราก็จะอยู่อย่างไม่เป็นสุข เราจะทำอะไรไม่ได้ งานการของเราก็จะล้มเหลว และเราก็จะต้องอับอายขายหน้าประชาชนทั่วไป

เวทีละคร

นักแสดงละครเวที… เมื่อถึงเวลาแสดงก็จะขึ้นไปบนเวที และแสดงบทบาทของตนให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบทรัก บทโกรธ บทของคนจน บทของเศรษฐี หรือบทอื่นๆ อีกมากมาย แต่เมื่อแสดงเสร็จก็จะลงมาจากเวที โดยที่บทที่เขาได้แสดงไปนั้นก็หมดไป เมื่อเปิดฉากละคร นักแสดงก็กลับไปอยู่ในสภาพเดิมของเขา ในช่วงที่เขาแสดง อาจจะแสดงบทที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เมื่อลงมาจากเวที โดยที่บทที่เขาได้แสดงไปนั้นก็หมดไป เมื่อปิดฉากละคร นักแสดงก็กลับไปอยู่ในสภาพเดิมของเขา ในช่วงที่เขาแสดง อาจจะแสดงบทที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เมื่อลงมาจากเวทีเขาก็หัวเราะได้ เพราะบททุกข์เป็นเพียงการแสดง

เช่นเดียวกันกับชีวิตของเรา เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว และเราก็ได้รับบทบาทที่จะต้องแสดงในโลกนี้ บางคนเป็นแพทย์ เป็นกรรมกร ฯลฯ เราเกิดมาไม่มีอะไรติดตัวมาด้วย พอเราออกไปจากโลกนี้ เราก็ไม่มีอะไรติดตัวออกไปเช่นกัน ดังนั้นเราก็คือตัวละคร โลกคือเวทีละครของเรา เราแสดงบทบาทหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่ตลอดเวลาให้เราจำไว้ว่ามันเป็นแค่บทละคร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ไม่ควรมีผลต่อจิตใจของเรา จิตใจของเราควรสงบ มีแต่ความสุข

อย่านิ่งเฉย

ถ้าเราสังเกตธรรมชาติแล้ว เราก็จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดที่อยู่นิ่งเฉย ภายในก้อนหินที่เราคิดว่ามันอยู่นิ่ง แต่ความจริงแล้ว จะมีพวกอะตอมเป็นจำนวนมากที่มีการเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อธรรมชาติไม่อยู่นิ่ง เราก็ไม่ควรที่จะฝืนธรรมชาติ ดังนั้นเราจงอย่าอยู่นิ่งเฉย ควรทำงานหรือกระทำหน้าที่ของเราอยู่ตลอดเวลา ทุกคนมีหน้าที่การงานที่จะต้องทำกันทั้งนั้น การทำงานดีกว่าการอยู่นิ่งเฉยเป็นอย่างมาก การทำงานทำให้จิตใจและร่างกายเข้มแข็ง และมีอายุยืนยาว ผู้ที่ชอบอยู่นิ่งเฉยจะทำให้จิตใจและร่างกายอ่อนแอง่าย และทำให้มีอายุสั้น คนที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาจะไม่มีเวลามานั่งคิดถึงความสุขความทุกข์ของตัวเอง ไม่มีเวลานั่งวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเอง เราเกิดมาแล้วก็จงอย่ามาเป็นขโมยเพื่อรับแต่ผลดีต่างๆ ในโลก และไม่ทำสิ่งใดเป็นการตอบแทนเลย การที่หวังแต่จะได้ ไม่คิดที่จะทำงาน นั่นก็คือการเป็นขโมยดีๆ นั่นเอง ดังนั้น เราอย่าละทิ้งหน้าที่ของเรา

บางคนหลอกตัวเองว่า ถ้ามีการกระทำใดๆ แล้ว ก็จะทำให้เกิดกรรม และทำให้ผลของการกระทำนั้นๆ ขึ้น ดังนั้นเพื่อจะได้หลุดพ้นจากกรรม เขาก็จะไม่ทำอะไรเลย เขาจะอยู่นิ่งเฉย เขาอาจจะไปอยู่ในถ้ำหรือในป่า แต่ถึงแม้ร่างกายของเขาจะอยู่นิ่งเฉยก็ตาม เขาก็ยังคิดถึงเรื่องต่างๆ นานา จนจิตใจฟุ้งซ่านไปหมด ถึงแม้ว่าจะอยู่ในป่าหรือในถ้ำก็ตาม จะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เขาจะหลุดพ้นจากกรรมของเขาไม่ได้ ดังนั้นเรามาทำงาน มาปฏิบัติหน้าที่ของเราดีกว่า พวกที่มีข้ออ้างและอยู่นิ่งเฉยนั้น อาจจะเกิดจากความเกียจคร้านของเขาเสียมากกว่า

การอยู่นิ่งเฉยนั้นมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทที่ 1 เป็นบุคคลที่มีความรู้ครบถ้วน มีอำนาจอิทธิพล มีทุกสิ่งทุกอย่างครบอย่างสมบูรณ์ ส่วนประเภทที่ 2 เป็นบุคคลที่เกียจคร้าน อ่อนแอ และขี้ขลาด ยกตัวอย่างเช่น การต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ในประเภทที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลที่มีพละกำลังมาก ถ้าเขาจะสู้กับศัตรูอย่างจริงจังแล้ว เขาจะต้องชนะแน่ๆ แต่เขาไม่ได้กระทำเช่นนั้น เขากลับแผ่เมตตาให้ศัตรูของเขา ซึ่งเห็นว่าเป็นพวกที่อ่อนแอกว่า ส่วนพวกที่อยู่ในประเภทที่ 2 นั้น เป็นคนที่อ่อนแอและขี้เกียจ เขาไม่กล้าสู้เพราะเขาเป็นคนขี้ขลาด และเขาก็จะวิ่งหนีศัตรูของเรา บุคคลในประเภทแรก เป็นบุคคลที่วิเศษซึ่งกำลังหลุดพ้นจากกรรมไม่ดีต่างๆ แต่บุคคลประเภทที่ 2 กำลังสร้างกรรมที่จะ ทำให้ตัวเองต้องอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจมากขึ้น และความทุกข์ทั้งมวลก็จะตามมา... จากการกระทำของเขา

บางคนหลอกตัวเองว่า “ฉันจะสละโลก” เขามีเหตุผลเช่นไร? สาเหตุก็สืบเนื่องมาจากว่าเขามีความผิดหวังในโลก ผิดหวังในเรื่องความรัก ผิดหวังในเรื่องอาชีพการงาน เขาไม่มีเงินทองเลย จึงคิดที่จะสละโลก คนประเภทนี้ไม่ได้สละอะไรเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไปอยู่ในป่าในถ้ำ แต่ในจิตใจของเขาก็ยังคิดอยากจะได้เนื้อคู่ อยากจะได้เงินทอง อยากจะได้เป็นผู้มีชื่อเสียง คนที่สละโลกได้จริงๆ นั้นมีไม่กี่คน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ได้สละโลกอย่างแท้จริง เพราะพระองค์มีครบทุกอย่างแล้ว มีสรรพสมบัติ มีความสุขทางกายทุกอย่าง มีพระมเหสีและมีพระโอรส การสละเช่นนี้จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่สละโลกโดยแท้จริง ดังนั้นเราอย่าหลอกตัวเองว่า เราจะสละโลกหรือเราจะอยู่นิ่งเฉย หรือละทิ้งหน้าที่การงานของเรา ส่วนใหญ่แล้วเรายังไม่พร้อมที่จะสละอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าเรายังมีสิ่งต่างๆ ไม่ครบถ้วน เรามาทำงานและปฏิบัติหน้าที่ของเรากันเถิด

พระหรือฆราวาส

นานมาแล้ว ที่ประเทศอินเดีย มีกษัตริย์องค์หนึ่งต้องการจะรู้ว่า “การเป็นพระหรือฆราวาส สิ่งไหนจะดีกว่ากัน?” พระสงฆ์รูปใดก็ตามที่เข้ามาในประเทศของพระองค์ พระองค์จะนิมนต์พระสงฆ์รูปนั้นมาซักถามคำถามนี้ พระบางรูปก็ตอบว่าเป็นพระนั้นดีกว่าแน่ บางรูปก็ตอบว่าเป็นฆราวาสดีกว่า กษัตริย์ก็ให้พระแต่ละรูปพิสูจน์ เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ กษัตริย์ก็บังคับพระเหล่านั้นให้สึก และแต่งงานมีชีวิตอยู่อย่างฆราวาส

วันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเข้ามาในประเทศนั้น กษัตริย์ก็ได้ถามคำถามเช่นเดียวกัน พระรูปนี้ได้ตอบว่า...
“ถ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีแล้ว จะเป็นพระหรือเป็นฆราวาสก็ดีทั้งนั้น”

จากนั้นก็ได้ทำการพิสูจน์โดยพากษัตริย์ไปยังประเทศใหญ่อีกประเทศหนึ่ง พอเข้าไปในเมืองหลวง ก็เห็นผู้คนมากมายกำลังชุมนุมกันอยู่ ทั้งสองก็เดินเข้าไปดู ปรากฏว่าพระธิดาของพระเจ้าแผ่นดินในประเทศนั้นกำลังทำพิธีเลือกคู่ พระธิดาเสด็จผ่านพวกชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่มีใครที่เป็นที่พอพระทัย ทุกคนต่างรู้สึกเสียใจ แต่ในนาทีสุดท้ายได้มีพระหนุ่มรูปงามอีกรูปหนึ่งเดินเข้ามาดูการชุมนุมของประชาชน เมื่อพระธิดาเห็นเข้าก็หลงรักทันที แล้วก็เสี่ยงพวงมาลัยไปยังพระหนุ่มรูปงามนั้น พระหนุ่มได้โยนพวงมาลัยทิ้งและพูดว่า...
“เอ้ย! อะไรกัน ฉันเป็นพระนะ” เมื่อพูดแล้วก็หันหลังเดินออกไป
พระเจ้าแผ่นดินทรงเสด็จตามไปและบอกว่า...
“ครึ่งหนึ่งของพระราชสมบัติจะเป็นของท่าน หากท่านแต่งงานกับลูกสาวของเรา และที่เหลือจะเป็นของท่านหมดเมื่อเราตายแล้ว”
“ฉันไม่สนใจเลย” พระท่านตอบ แล้วก็เดินเข้าป่าไป

พระธิดาได้วิ่งตามพระรูปงามนั้นเข้าไปในป่าด้วยความหลงรัก แต่พระรูปนั้นก็หลบหายไปแล้ว ส่วนพระหนุ่มรูปแรกพร้อมกษัตริย์ที่พามาด้วยก็ได้เดินตามพระธิดาเข้าไปดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด พอเห็นพระธิดาร้องไห้อยู่ด้วยความเสียใจ จึงเข้าไปปลอบแล้วบอกว่าจะพากลับไปในเมือง แต่เวลานั้นเป็นเวลาค่ำ จึงพากันไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะค้างคืนอยู่ที่นั่น บนต้นไม้มีพ่อนก แม่นก และลูกนกเล็กๆ อีก 3 ตัว อาศัยอยู่ พ่อนกพูดขึ้นว่า...
“วันนี้เราโชคดีมาก มีแขกเข้ามาอาศัยในบ้านของเรา แต่เดี๋ยวแขกต้องหนาวแน่เลย จะทำยังงัยกันดีล่ะ”
เมื่อพูดเสร็จก็บินออกไปหาไฟ พ่อนกคายไม้ที่ติดไฟอยู่นั้นมาทิ้งไว้ใกล้ๆ แขก แล้วจึงบินไปหาฟืนมากองเอาไว้ จนในที่สุดก็มีกองไฟที่ให้ความอบอุ่นได้ตลอดคืน พ่อนกก็พูดต่อไปว่า...
“แขกของเราจะต้องหิวแน่ๆ ฉันจะสละตัวฉันให้เขารับประทาน”

พูดแล้วก็บินเข้าไปในกองไฟ และฆ่าตัวเองเพื่อให้แขกได้รับประทาน พอภรรยาเห็นเข้าก็นึกว่า แขกมีตั้ง 3 คน แต่มีนกตัวเดียวคงจะไม่พอรับประทาน เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงตามสามีลงไปในกองไฟ ลูกๆ ทั้งสามตัวก็คิดเช่นเดียวกัน พูดต่อๆ กันว่า...
“เราจะต้องเสียสละเพื่อแขกของเรา” ว่าแล้วก็กระโดดไปในกองไฟ พระและกษัตริย์มองดูเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึง ในที่สุดพระก็พูดกับกษัตริย์ว่า...
“นี่แหละคือข้อพิสูจน์ ถ้าเป็นพระก็ต้องสละโลกจริงๆ
ไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของพระธิดาที่สวยงามที่สุดในโลก และไม่สนใจทรัพย์สมบัติทั้งปวง หากจะเป็นฆราวาสก็ควรจะเป็นแบบครอบครัวนกที่อาศัยอยู่บนต้นไม้นั้น พยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุข ทำหน้าที่พลเมืองดีต่อสังคม ถึงแม้จะต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง”

ดังนั้น การเป็นพระหรือฆราวาสที่ทำหน้าที่ได้ถูกต้อง เช่นนี้จึงจะถือว่าเป็นบุคคลที่วิเศษที่สุดในโลกใบนี้

พลังแห่งการแผ่เมตตา

การแผ่เมตตา เป็นการปฏิบัติที่สำคัญมาก ถ้าเราแผ่เมตตาบ่อยๆ จะช่วยให้จิตใจเราสงบลง ทำให้เราสบายใจและหายกังวลในเรื่องต่างๆ เราจะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์ดี ไม่โกรธใครง่ายๆ เราจะมีความเมตตากรุณาต่อทุกสิ่งในโลกนี้ ทำให้เราอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น และเราเองก็จะเป็นที่รักใคร่ของทุกคน

ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการแผ่เมตตาที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นผลประโยชน์ที่จะได้กับตัวผู้แผ่เมตตาเอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผลประโยชน์ที่ผู้อื่นจะได้รับจากการแผ่เมตตาของเรา นอกจากตัวเราเองจะมีความสงบสุขแล้ว จิตใจของผู้อื่นที่อยู่รอบๆ ตัวเรา หรือของผู้ที่เราเจาะจงแผ่เมตตาไปให้ก็จะสงบสุขตามไปด้วย เราอาจจะเคยสังเกตเห็นว่า พอเราเข้าไปอยู่ใกล้ๆ นักบุญหรือนักบวช จิตใจของเราก็จะสงบลงทันที ความคิดต่างๆ ที่ไม่ดีก็จะค่อยๆ หายไป ทั้งนี้เพราะมีกระแสจิตพุ่งออกไปจากผู้แผ่เมตตา จริงๆ แล้ว ไม่ว่าเราจะคิดอะไรก็ตาม จะมีกระแสหรือพลังส่งออกมาจากตัวเรา ซึ่งผู้อื่นสามารถที่จะรับความคิดนั้นได้ ด้วยเหตุนี้บางคนที่มีสมาธิดี สามารถที่จะอ่านความคิดของผู้อื่นได้ หรือสามารถที่จะติดต่อกันได้โดยใช้กระแสจิต (โทรจิต) นักวิทยาศาสตร์หลายคน เช่น ศาสตราจารย์ฟูคะราย ในประเทศญี่ปุ่น และเดอลาวาร์ ในประเทศอังกฤษ ได้ทดลองถ่ายรูปของความนึกคิดออกมาได้ แสดงให้เห็นว่า ความคิดของเรามีคลื่นพุ่งออกไปจากตัวเราจริงๆ

เพราะฉะนั้น เราจะต้องระมัดระวังมากในเรื่องของความคิดของเรา ถ้าเราคิดสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นประโยชน์ คนอื่นก็อาจจะได้รับความคิดีๆ และได้ประโยชน์จากความคิดของเรา แต่ถ้าจิตใจของเราเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่ดีหรือกิเลสต่างๆ จะทำให้คนอื่นมีความคิดที่ไม่ดีตามไปด้วย ถ้ามีใครที่โกรธเรา อยากจะทะเลาะกับเรา หรืออยากจะทำร้ายเรา จงอย่าไปทะเลาะกับเขาหรือทำร้ายเขา แต่จงทำจิตใจของเราให้สงบ แผ่เมตตาให้เขา ถ้าเราเคยแผ่เมตตาอยู่เป็นประจำ คนที่โกรธก็จะได้รับกระแสความเมตตาจากเราไปบ้าง ทำให้จิตใจเขาสงบลง แล้วเขาก็จะหายโกรธ เลิกทะเลาะกับเรา หรือเลิกคิดที่จะมาทำร้ายเรา

สัตว์ที่ดุร้าย เราก็ปฏิบัติได้เช่นเดียวกัน คืออย่าวิ่งหนีหรือแสดงความกลัว แต่ให้เราอยู่นิ่งๆ แล้วแผ่เมตตาไปให้สัตว์ร้ายตัวนั้น สักครู่หนึ่งสัตว์ร้ายก็จะวิ่งหนีไป และไม่มาทำร้ายเรา นอกจากนี้การแผ่เมตตายังมีผลดีต่อพืชผักผลไม้อีกด้วย ดังเช่นที่ได้ยกตัวอย่างการทดลองปลูกต้นดาวกระจายของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปก่อนหน้านี้แล้ว

ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังกล่าว การแผ่เมตตาจึงสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้มาก และสามารถที่จะช่วยทำให้สงครามและความทุกข์ทรมานลดน้อยลง ทำให้โลกของเรามีความสุขและสันติภาพมากขึ้น

การแผ่เมตตา

ถ้าเราจะแผ่เมตตาให้ได้ผลดีจริงๆ เราควรจะเข้าใจทฤษฎีเกี่ยวกับการแผ่เมตตาเสียก่อน ในวิชาเรดิโอนิก ซึ่งเป็นวิชาแขนงใหม่ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิชานี้ ทั้งที่ประเทศอังกฤษและประเทศฮอลแลนด์ ได้พิสูจน์ว่ามีพลังชนิดหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นพลังแม่เหล็กชนิดนหนึ่ง พุ่งออกไปจากร่างกายของมนุษย์ตามจุดต่างๆ จุดที่สำคัญคือ บริเวณหน้าผาก คอ หัวใจ บริเวณท้องเหนือสะดือเล็กน้อย และบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง นอกจากนี้พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองส่งพลังนี้ไปยังคนที่เจ็บป่าย ปรากฏว่าคนไข้รู้สึกสบายขึ้น และส่วนใหญ่จะช่วยรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างรวดเร็ว

วิธีการแผ่เมตตา
เริ่มต้นด้วยการนั่งในท่าสมาธิ หลังตรงและไม่เกร็งตัว ฝึกสมาธิสักครู่หนึ่งเพื่อจะให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน เพราะจิตที่ฟุ้งซ่านจะสามารถแผ่พลังงานของความเมตตาได้น้อย พอจิตใจสงบมีสมาธิบ้างแล้ว ให้เราพิจารณาสภาพของโลกเราในปัจจุบัน จะเห็นว่าโลกของเรามีความทุกข์ทรมานมากมาย เช่น มีสงครามเกิดขึ้นหลายแห่ง มีการฆาตกรรมระหว่างพี่น้องกันเอง มีการทะเลาะกัน ทำร้ายกัน มีคนเป็นจำนวนล้านๆ คน ซึ่งไม่มีอาหารเพียงพอ จิตใจของมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลส ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะช่วยเหลือตัวเองให้มีความทุกข์น้อยลง นอกจากนี้ยังมีภัยจากธรรมชาติที่รุนแรง ซึ่งทำลายชีวิตและทำลายบ้านเมืองจนพังพินาศ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดังนั้นพวกเราควรมีความรู้สึกสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นญาติพี่น้องของเรา แต่ความสงสารนี้ควรจะเปลี่ยนเป็นความเมตตา ไม่ใช่เป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดจากความเศร้าโศกเท่านั้น เมื่อมีความเมตตาเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้เริ่มต้นแผ่เมตตาได้ ภายในจิตใจของเราให้คิดอยู่เสมอว่า เราสามารถที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ได้จริงๆ อธิษฐานในใจหรือคิดในใจว่า เราจะแผ่ไปให้ใคร เพื่ออะไร เราจะอธิษฐานอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญขอให้พูดจากใจจริง และต้องการให้มันเป็นไปตามคำอธิษฐานของเราจริงๆ เช่น อธิษฐานว่า... “ขอให้พลังของความเมตตาได้แผ่ไปยังเพื่อนมนุษย์ทุกคน เพื่อช่วยให้ทุกคนมีความสุขยิ่งขึ้น” การแผ่เมตตาไม่จำเป็นจะต้องท่องจำคาถาอะไรเลย แต่ถ้าอยากจะท่องจำคำสวดมนต์ก็ไม่สามารถทำได้ แต่จงอย่าท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง ซึ่งจะไม่มีความหมายแต่ประการใด ขอให้ท่องให้มีความหมาย โดยมีจุดประสงค์ในใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นจริงๆ ถ้าจะแผ่เมตตาพร้อมกันหลายๆ คน ก็ให้มีคนนำอธิษฐานออกมาดังๆ แล้วทุกคนก็แผ่พลังของความเมตตาออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าลืมว่าพลังนี้ออกจากบริเวณหัวใจ และฝ่ามือทั้งสองข้างของเรา เพราะฉะนั้นหลังจากอธิษฐานแล้วก็ให้ใช้ความคิดของเราช่วย โดยการคิดว่ามีพลังออกไปจากบริเวณต่างๆ ดังกล่าว หรือพยายามคิดว่ามีแสงสีขาวพุ่งออกไปจากบริเวณหัวใจและฝ่ามือทั้งสองข้าง โดยให้แสงนี้พุ่งออกไปเป็นลำๆ พยายามคิดและมองให้เห็นแสงนี้ในลักษณะของแสงสว่างสีขาวบริสุทธิ์ และพุ่งออกไปให้มากที่สุด แต่ไม่ต้องเพ่งตามแสงออกไปไกลๆ เพราะแรงอธิษฐานของเราจะช่วยนำพลังนี้ไปถึงจุดที่เราต้องการจะแผ่เมตตาไปถึง ตอนระยะเวลาที่ปฏิบัติก็ควรจะหลับตา เพื่อไม่ให้สิ่งอื่นมารบกวนสมาธิของเรา ให้ปฏิบัติเช่นนี้ประมาณ 3 ถึง 5 นาที หรืออาจจะนานกว่านี้ก็ได้ ก่อนจบก็ให้ภาวนาว่า... “โลกา สมัสตา สุขิโน ภวันตุ” 3 ครั้ง

ในการแผ่เมตตา เราอาจจะเจาะจงแผ่ไปถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ เช่น ถ้าเรารู้จักใครที่กำลังไม่สบาย เราก็แผ่เมตตาไปให้คนนั้น แต่ขอให้จบด้วยการแผ่เมตตาถึงส่วนรวม และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิต ความเมตตาของเราจะต้องมีขอบเขต ไม่ใช่ว่าเราจะแผ่เฉพาะเพื่อนฝูง ส่วนพวกที่เราไม่ชอบเราจะไม่แผ่ให้ เราควรจะมีเมตตาถึงทุกคน แม้ว่าจะเป็นศัตรูหรือคนที่คิดจะทำร้ายเราก็ตาม จงอย่าละทิ้งผู้ใดออกไปจากความเมตตาของเรา และจะต้องไม่จำกัด ชาติ ศาสนา สีผิว หรือลัทธิต่างๆ ด้วย

เราควรจะแผ่เมตตาให้บ่อยที่สุด อย่างน้อยทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนก่อนนอน การฝึกสมาธิทุกครั้งควรจะจบด้วยการแผ่เมตตา อย่าพอใจในการแผ่เมตตาเพียงหนสองหนต่ออาทิตย์ ถ้าเราแผ่เมตตาเป็นเหมือนกับการฝึกสมาธิชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสงบและความสบายใจ แต่จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อเราได้ปฏิบัติทุกๆ วัน และเพื่อที่จะช่วยให้การแผ่เมตตามีผลมากที่สุด ชีวิตประจำวันของเราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง คือมีศีลธรรมและทำประโยชน์โดยการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุด เราควรจะทำจิตใจให้สงบและมีความเมตตาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเห็นใครไม่สบาย ก็แผ่เมตตาไปให้ทันที อย่าเดินผ่านมนุษย์หรือสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราไปเฉยๆ

ข้อควรระวัง
ข้อควรระวังในการแผ่เมตตา จงอย่าใช้การแผ่เมตตาเพื่อบังคับหรือเปลี่ยนนิสัยจิตใจของผู้อื่น ถึงแม้คนๆ นั้นจะเลวเพียงใด และเราหวังดีที่จะช่วยให้เขาเป็นคนดีขึ้นก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะปฏิบัติ เพราะถ้าเราใช้อำนาจจิตของเราไปบังคับเขา เขาก็จะทำตามเหมือนหุ่นยนต์ เราควรจะเข้าใจว่าที่เขาทำสิ่งไม่ดีไปนั้น ก็เพราะเขายังต้องการเรียนรู้และต้องผ่านประสบการณ์เช่นนั้นก่อน เพื่อจะได้ก้าวหน้าต่อไป แต่ถ้าเราไปบังคับเขาแล้ว เขาจะขาดประสบการณ์อันนั้นไป และขาดการตัดสินใจในการเลือกระหว่างสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ที่จะช่วยให้เขาก้าวหน้าในชีวิตต่อไป เพราะฉะนั้น การบังคับจิตใจของผู้อื่นจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผู้ที่ถูกบังคับนั้น เราควรจะแผ่เมตตาเพื่อที่จะช่วยให้เขามีพลังต่อต้านกิเลสของเขา ไม่ใช่ไปบังคับเขาไม่ให้มีกิเลสเลย เราจะแผ่เมตตาให้เขามีพลังต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ หรือให้เขามีความสุขมากขึ้นได้ แต่อย่าแผ่ให้เขามีความคิดเหมือนเรา เช่น ขอให้เขามีความสุขมากขึ้นได้ แต่อย่าแผ่ให้เขามีความคิดเหมือนเรา เช่น ขอให้พวกคอมมิวนิสต์มีแต่ความคิดเหมือนพวกฝ่ายเสรี จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน ถ้าแผ่เช่นนั้นถือว่าเป็นการบังคับจิตใจและเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

ทฤษฎีที่ได้เรียนไปนี้ก็คงจะเป็นทฤษฎีต่อไปเรื่อยๆ ถ้าขาดการปฏิบัติทฤษฎีเฉยๆ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนได้นำเอาไปทดลองและฝึกปฏิบัติดู แต่การทดลองนั้นไม่ใช่เป็นเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น จะต้องอดทนและพยายามฝึกฝนทดลองบ่อยๆ จึงจะได้ผลแล้วเราจึงจะเปลี่ยนจากมนุษย์ที่มีกิเลส ที่เห็นแก่ตัว เป็นมนุษย์ที่มีปัญญาและมีความรักความเมตตา อันจะทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมต่อไป

อหิงสา

เมื่อผู้อื่นมาทำร้ายเรา เราไม่ควรที่จะมีความโกรธความเกลียดอยู่ในจิตใจของเรา แต่เราจะต้องมีความรัก ความเมตตา ต่อผู้ที่มาทำร้ายเรา แทนที่เราจะไปว่าผู้ที่ทำร้ายเรา เราควรที่จะมาพิจารณาตัวเราเอง และพิจารณาว่าเราบกพร่องตรงไหน เราควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งใดบ้าง เพื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เราใช้โอกาสที่ผู้อื่นมาทำร้ายเราในการฝึกจิตใจของเรา ให้รู้จักควบคุมอารมณ์ และเราก็ถือโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ จากปัญหานั้นๆ และจากความยุ่งยากเหล่านั้น

อหิงสา หมายถึง จิตใจที่ไม่มีความโกรธ ไม่มีความโมโห ไม่มีการคิดร้ายต่อผู้อื่น หมายถึง คำพูดที่ไม่ดุร้าย ไม่กล่าวร้าย ไม่นินทาในทางไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น และหมายถึง การกระทำที่ไม่มีการทำร้ายผู้อื่น ไม่มีการทำอะไรที่เสียหายต่อผู้อื่น หรือไม่ใช้กำลังในการโต้ตอบเมื่อผู้อื่นมาทำร้ายเรา

มนุษย์จะต้องรู้จักพูดด้วยความรักความเมตตา ด้วยวาจาที่อ่อนน้อม ไม่ทำร้ายผู้อื่นด้วยคำพูดของเรา การกระทำของเราก็ควรจะมีแต่ความรักความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ความกรุณาปราณี ดังนั้นการไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้น ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา โดยการเข้าใจเกี่ยวกับความจริงว่า ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเดียวกัน เป็นญาติสนิทกัน เราก็ไม่มีทางที่จะไปคิดร้าย หรือทำร้ายผู้อื่นได้ และเมื่อมีความรักความเมตตาอยู่ในจิตใจของเรา มีความสงบสุขในจิตใจของเรา จะไม่มีความโกรธ ความเกลียด หรือความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อมีธรรมะประจำใจ ก็จะมีแต่ความรักความเมตตา การเสียสละ การให้ การรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น การรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จะทำให้ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์หายไป และการใช้กำลังในการโต้ตอบก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ดังนั้น อหิงสา จะอยู่ในตัวเราอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อ มนุษย์มีสัจจธรรม มีความรักความเมตตา มีความสงบสุข และมีธรรมะประจำใจ

ตระหนักว่าคุณเองเป็นเจ้าของเวลา

ความรักมีอิทธิพลอย่างมาต่อพวกเรา คำว่าความรักในหนังสือเล่มนี้ หมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ที่ออกมาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน

เราทุกคนสามารถส่งความรักและรับความรักได้ ความรักที่บริสุทธิ์ที่เราได้รับไม่ได้ส่งผ่านทางประสาทสัมผัสทางกาย แต่เป็นคุณสมบัติพิเศษที่ทุกคนมี

เมื่อเราอยู่กับนักบุญ เรารู้สึกสงบมาก นั่นเป็นเพราะเราอยู่ในบรรยากาศของความบริสุทธิ์และความรัก จึงทำให้เรารู้สึกสงบ ในทางตรงกันข้าม หากเราอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีแต่ความสับสนและเกรี้ยวกราด เราจะไม่มีความสงบสุขในจิตใจของเราเลย

เมื่อเด็กหกล้มและได้รับบาดเจ็บ แม่จะวิ่งเข้ามาและโอบกอดลูกไว้ด้วยความรัก เด็กจะหยุดร้องไห้ทันทีและหายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง นั่นเป็นเพราะความรักของแม่ที่มีต่อลูก

ความรักไม่ได้มีผลกระทบต่อมนุษย์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในทางบวกต่อพืชและสัตว์อีกด้วย ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีนิสิตกลุ่มหนึ่งทำการทดลองเกี่ยวกับเรื่องความรักความเมตตา ซึ่งต้องการจะทราบว่า ความรักความเมตตามีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้หรือไม่

โดยการทำการทดลองแบบนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอาจารย์ผู้หนึ่งในจุฬาฯ ควบคุมการทดลองดังกล่าว นิสิตกลุ่มนั้นได้ทดลอง โดยการปลูกต้นดาวกระจาย 2 แปลง ในแปลงหนึ่ง นิสิตได้แผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้ ส่วนอีกแปลงหนึ่งปล่อยไว้ตามลำพังเพื่อเป็นการเปรียบเทียบในการทดลอง ซึ่งต้นไม้ทั้ง 2 แปลงนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกันหมด คือการให้น้ำ ให้ปุ๋ย และได้รับอากาศเท่ากันทั้ง 2 แปลง

หลังจากนั้นไม่นาน นิสิตได้วัดความสูงของต้นไม้แต่ละต้น และสังเกตความแตกต่างระหว่างต้นไม้ทั้ง 2 แปลง ปรากฏว่าต้นไม้ในแปลงที่ได้รับการแผ่เมตตานั้น สูงกว่าอีกแปลงหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด และนอกจากนั้นแล้ว ต้นที่ได้รับการแผ่เมตตามีดอกสวยงามทุกต้น ในขณะที่อีกแปลงหนึ่งไม่มีดอกเลยสักต้นเดียว

นิสิตเหล่านั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความรักความเมตตามีผลต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างมาก ความรักเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ เมื่อครั้งฝูงช้างป่าวิ่งตรงไปยังที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ พระองค์ได้แผ่ความรักความเมตตาไปยังช้างเหล่านั้น พวกช้างหยุดวิ่งและไม่ทำร้ายใคร พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

พระเยซูคริสต์ทรงรักษาอาการป่วยของคนหลายคน ด้วยพลังแห่งความรักความเมตตา พระองค์ทรงกล่าวว่า...
ศาสดาและเหล่านักบุญทั้งหลาย ต่างก็มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันในคำสอนของแต่ละท่าน นั่นคือเรื่องความรักความเมตตา

มีอาจารย์ท่าหนึ่ง ชื่อ อาจารย์โยคะนันท์ ขณะที่ท่านกำลังเดินอยู่บนถนนสายหนึ่ง ในนครนิวยอร์ค ได้มีโจรผู้ร้ายสามคน ชักปืนเข้ามาจี้ที่อาจารย์เพื่อชิงทรัพย์ อาจารย์โยคะนันท์จิตใจสงบ ยิ้ม ไม่วิตกกังวลอะไร และได้ยื่นกระเป๋าเงินของท่านให้กับโจรผู้ร้ายเหล่านั้น และพร้อมกันนั้นท่านก็ได้แผ่เมตตาให้กับโจรผู้ร้ายทั้งสามคนด้วย ท่านพูดในใจว่า...
“ขอให้ท่านทั้งสามจงเต็มไปด้วยความสงบสุข”

เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้น โจรผู้ร้ายทั้งสามคนกลับคืนกระเป๋าเงินและลดปืนลง พร้อมกับพูดว่า...
“พวกเราขอโทษด้วย เราไม่สามารถเอาเงินของท่านได้แล้วล่ะ”

จากนั้นโจรทั้งสามคนก็หันหลังแล้ววิ่งหนีไป... นี่คือพลังแห่งความรักความเมตตา

ความรักความเมตตาเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเราสามารถส่งออกไปให้ผู้อื่นและผู้อื่นก็สามารถรับได้ ความรักความเมตตาเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เพราะสามารถให้ความสงบสุขแก่ผู้อื่นได้

ความรักความเมตตาเป็นสิ่งที่จะทำลายความโกรธ ความเกลียด และเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นเพื่อนของเราได้ เมื่อเรานำความรักความเมตตามาอยู่ในจิตใจของเรา ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความโมโห ก็จะหายไปจากคนๆ นั้น

โลกของเรากำลังเข้าขั้นวิกฤตการณ์ มนุษย์มีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวซึ่งกันและกัน คอยระแวงซึ่งกันและกัน และพยายามแข่งขันสร้างอาวุธที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อจะป้องกันตัวเอง มนุษย์เราพยายามที่จะปราบความชั่วร้ายโดยการทำสงคราม ซึ่งความชั่วร้ายนั้นก็ไม่หายไป หนำซ้ำ มนุษย์กลับพบสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น หลังจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง มนุษย์ก็ยิ่งมีความสับสนวุ่นวายมากขึ้น มนุษย์ก็ยังไม่พอกับความสงบสุขที่เขาต้องการ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่ามนุษย์ได้ลืมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่สามารถช่วยเขาได้ นั่นก็คือ ความรักความเมตตา

ความชั่วร้ายจะปราบด้วยสงครามไม่ได้ สงครามจะทำให้ความชั่วร้ายทวีความรุนแรงมากขึ้น และกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ความรักความเมตตาเท่านั้นที่จะช่วยตัดความกลัว ความเกลียด และความชั่วร้ายในโลกนี้ได้ โดยอาศัยความรักความเมตตา มนุษย์ก้จะสามารถเปลี่ยนโลกของเราเป็นสวรรค์... เป็นโลกซึ่งมีแต่ความสุข

แสงสว่างในใจ

ในบทที่ผ่านมาได้แนะนำการนั่งสมาธิเพื่อควบคุมจิตใจให้สงบนิ่ง โดยใช้วิธีการเฝ้าดูลมหายใจของตัวเราเอง ในบทนี้จะขอแนะนำวิธีการนั่งสมาธิอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือ การนั่งสมาธิด้วยแสงสว่าง

ในการนั่งสมาธิด้วยแสงสว่าง เราใช้แสงสว่างเพราะแสงสว่างจะช่วยกำจัดความมืดมนออกไป ความมืดจะอยู่ไม่ได้เมื่อมีแสงสว่าง แสงเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ ดวงอาทิตย์ฉายแสงสว่างแก่ทุกสรรพสิ่ง ให้ความอบอุ่นและช่วยให้พืชเจริญเติบโตและให้ชีวิตแต่ทุกชีวิต ดังนั้นแสงสว่างจึงมีความสำคัญต่อโลกเป็นอย่างมาก

ถ้าจะให้การนั่งสมาธิบังเกิดผลสูงสุด เราควรจะเตรียมตัวของเราด้วย ก่อนอื่นเราควรกำหนดเวลาที่เราจะนั่งสมาธิในแต่ละวัน และควรจะนั่งตรงต่อเวลาทุกวัน เหตุผลก็คือ จิตใต้สำนึกของเราจะจดจำเวลาเอาไว้ และเมื่อเราปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอก็จะกลายเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกจะตั้งโปรแกรมช่วงเวลาของความสงบเอาไว้ ณ เวลานั้น ซึ่งจะทำให้เราฝึกสมาธิได้ง่ายขึ้น เวลาที่ดีที่สุด คือ เวลาเช้าระหว่าง 4.00 น. ถึง 6.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มีพลังงานของความสงบ แต่มิได้หมายความว่าเราไม่ควรฝึกสมาธิในช่วงเวลาอื่นๆ อย่างไรก็ตามสำหรับคนส่วนใหญ่ ตอนเช้าเป็นเวลาที่เราตื่นและรู้สึกสดชื่น ส่วนตอนเย็นเราจะรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอน.

เราควรจะมีสถานที่เฉพาะที่เราจะฝึกสมาธิไม่ปนกับกิจกรรมอื่น หลังจากเราฝึกไปสักพัก บริเวณที่เราฝึกก็จะมีแต่บรรยากาศของความสงบ ซึ่งจะทำให้เราฝึกสมาธิได้ง่ายขึ้น ถ้าเราฝึกสมาธิบนเตียง มันก็จะมีบรรยากาศของการนอนหลับ และเราก็จะรู้สึกง่วงนอนเวลานั่งสมาธิ

ถ้าเรานั่งสมาธิบนพื้น และพื้นเป็นไม้หรือคอนกรีต เราควรจะมีเสื่อหรือผ้ารอง เพื่อมิให้พลังงานไหลลงสู่พื้นหมด สำหรับผู้ที่สามารถนั่งขัดสมาธิบนพื้นได้ก็จะดีที่สุด อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่สามารถนั่งบนพื้นได้ สามารถนั่งบนเก้าอี้แทนก็ได้ แต่ควรให้ร่างกายของเราผ่อนคลาย

เราจะเริ่มด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ และใช้เทคนิคที่ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้นเกี่ยวกับการหายใจพร้อมๆ กับการภาวนา การทำเช่นนี้จะช่วยให้จิตใจของเราสงบ และเตรียมพร้อมสำหรับการนั่งสมาธิโดยใช้แสงสว่าง

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถนึกภาพแสงสว่างในใจได้ ควรจะจุดตะเกียงหรือเทียนไขไว้ข้างหน้า และเพ่งมองแสงสว่างจากเทียนหรือตะเกียงสักครู่ จากนั้นจึงหลับตาลง แล้วเริ่มนึกภาพตามดังนี้

ให้นึกถึงแสงสว่าง...แสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าของเรา... และให้จดจำแสงสว่างนี้ไว้... ...นำแสงสว่างมาไว้ที่ศรีษะของเรา...ให้ศรีษะของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง.. เราจะคิด...ในสิ่งที่ดี... คิดในสิ่งที่มีประโยชน์... เราคิดอย่างไร... เราก็เป็นอย่างนั้น... ในความคิดของเรา.. จะเต็มไปด้วยความรัก... และความเมตตา...

...จากนั้นนำแสงสว่าง... มาไว้ที่หัวใจของเรา... ให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง.. ให้คิดว่า... ที่หัวใจของเรานั้นมีดอกบัว... พอดอกบัวได้รับแสงสว่าง... ดอกบัวก็จะบานสวยงาม... เช่นเดียวกับจิตใจของเรา... หากเรามีจิตใจที่ดี... มีความรัก... และความเมตตา... หัวใจของเรา... ก็จะบริสุทธิ์สวยงามเช่นกัน...

...จากนั้นนำแสงสว่าง... มาไว้ที่แขนและมือทั้งสองข้างของเรา... ให้แขนและมือทั้งสองข้างของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง.. เราจะทำแต่ความดี... ทำในสิ่งที่มีประโยชน์... รับใช้ช่วยเหลือทุกๆ คน ...ด้วยความรัก ...และความเมตตา...

...และนำแสงสว่างนั้น... มาไว้ที่ขาและเท้าของเรา... ให้ขาและเท้าของเรานั้น...เต็มไปด้วยแสงสว่าง... เราจะก้าวเดินไปข้างหน้า... ก้าวเดินไปในหนทางที่ดี... ก้าวไปทำประโยชน์ให้กับสังคม... และในทุกย่างก้าวของเรา... จะเต็มไปด้วยความมั่นใจ... และตั้งใจที่จะทำความดี

...ให้นำแสงสว่างนั้น... ผ่านร่างกาย... เข้าไปในปากและลิ้นของเรา...ให้ปากและลิ้นของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง... เราจะพูดแต่สิ่งที่ดี... พูดแต่สิ่งที่มีประโยชน์... ด้วยคำพูดที่ไพเราะ.. อ่อนหวาน... สุภาพ.. อ่อนน้อมกับทุกๆ คน... และทุกคำพูดของเรา.. จะเต็มไปด้วยความรัก... และความเมตตา...

...และนำแสงสว่างนั้น... มาไว้ที่หูทั้งสองข้างของเรา... ให้หูทั้งสองข้าง...เต็มไปด้วยแสงสว่าง... เราจะรับฟังแต่สิ่งที่ดี... รับฟังแต่สิ่งที่มีประโยชน์.. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทุกเมื่อ…

...และนำแสงสว่าง... มาไว้ที่ตาทั้งสองข้างของเรา... ให้ตาทั้งสองข้าง...เต็มไปด้วยแสงสว่าง... เราจะมองไปข้างหน้า... มองในสิ่งที่ดี... มองเห็นความดีในทุกๆ คน... และมองทุกๆ คน.. ด้วยความรัก... และความเมตตา...

...และจากนั้น...ให้นำแสงสว่าง... มาไว้ที่ศรีษะของเราอีกครั้งหนึ่ง... ให้ศรีษะของเรา...เต็มไปด้วยแสงสว่าง.. เราจะแผ่ประกายแสงสว่างออกไป...ไปยังทุกๆ คนที่เรารัก... ไปยังคุณพ่อคุณแม่.. ผู้ที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่... ผู้ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา... แผ่กระจายแสงสว่างออกไป... ไปยังคุณครู... ผู้อบรมสั่งสอน..ให้วิชาความรู้แก่เรา... นำแสงสว่างแผ่กระจายออกไปยังเพื่อนๆ ... ญาติพี่น้อง... และทุกๆ คน.. รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทุกๆ ชีวิตบนโลกนี้... ไม่ว่าจะเป็นคน.. สัตว์... หรือต้นไม้... ให้ทุกๆ ชีวิตนั้น.. ได้รับแสงสว่างแห่งความรัก.. และความเมตตา.. เราจะแผ่กระจายแสงสว่างออกไป... ให้ทั่วทั้งโลก.. ทั่วทั้งจักรวาล...

...เราอยู่ในแสงสว่าง...
...แสงสว่างอยู่ในตัวเรา...
....เราคือแสงสว่าง...

...และหลังจากนั้น... ให้นำแสงสว่างมาไว้ที่หัวใจของเรา... ให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง.. เราจะเป็นคนดี... มีความรัก... และความเมตตา... และเราจะเก็บแสงสว่างนี้ไว้... ให้อยู่กับตัวเรา.. ตลอดไป

ขอให้นั่งสงบนิ่งสักครู่ นึกถึงแสงสว่างและความสงบที่เราจะได้รับก่อนที่จะจบการนั่งสมาธิ

อลาดินกับตะเกียงวิเศษ

เมื่อครั้งที่อลาดินยังเป็นเด็ก มีวันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำสวน เขาขุดดินลงไปแล้วพบอะไรแข็งๆ อยู่ในดิน เขาคิดว่ามันคงเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาจึงพยายามขุดมันออกไป แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะมันไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็นตะเกียงโบรานดวงหนึ่ง ตะเกียงมีดินติดหนาเตอะ อลาดินจึงพยายามเช็ดเอาดินออกด้วยผ้า เขาถูไปถูมา ทันใดนั้นก็มีควันพวยพุ่งออกมาจากปากตะเกียง ควันได้กลายร่างเป็นยักษ์มายืนคำนับตรงหน้าอลาดิน เจ้ายักษ์พูดว่า...
“เจ้านาย ข้าขอขอบคุณเจ้านายที่ปล่อยให้ข้าเป็นอิสระในวันนี้ ข้าจะยอมเป็นทาสรับใช้เจ้านาย ขอให้ท่านสั่งข้ามา ข้าจะทำทุกอย่าง แต่ถ้าเจ้านายหยุดสั่งข้าเมื่อไหร่ ข้าจะเกินเจ้านายเสีย..”

อลาดินคิดในใจว่าตนช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ เขาแน่ใจว่าเขามีงานให้เจ้ายักษ์ทำตลอดเวลาแน่นอน เขาไม่มีทางถูกเจ้ายักษ์จับกินหรอก...
“ตกลงเรารับเจ้าเป็นทาสของเรา” อลาดินพูดออกไป
ยักษ์ได้เตือนอลาดินอีกครั้งว่า...
“อย่าลืมนะเจ้านาย ถ้าเจ้านายหยุดสั่งข้าเมื่อไหร่ ข้าจะเกินเจ้านายเสีย”

อลาดินหัวเราะแล้วกล่าวว่า...
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรามีงานให้เจ้าทำตลอดแน่ๆ”

จากนั้นอลาดินก็เริ่มใช้งานยักษ์ตนนั้น...
“เราต้องการคฤหาสน์หลังใหญ่”

เจ้ายักษ์ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นก็มีคฤหาสน์หลังใหญ่ปรากฏขึ้น อลาดินประหลาดใจมาก เพราะเขาคิดว่าเจ้ายักษ์คงใช้เวลาสร้างสักสองสามปีถึงจะเสร็จ อลาดินจึงรีบคิดต่ออย่างรวดเร็วว่าจะให้ยักษ์ทำอะไร...
“เราต้องการสะพานที่ข้ามไปยังคฤหาสน์ของเรา”
เ จ้ายักษ์ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง สะพานก็ปรากฏขึ้น
“เราอยากได้สวนดวกไม้รอบๆ คฤหาสน์”
ทันใดนั้น เจ้ายักษ์ก็เนรมิตสวนที่สวยงามรอบๆ คฤหาสน์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อลาดินก็สั่งต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้เจ้ายักษ์มีงานทำตลอดเวลา

เมื่อถึงเวลาเย็นค่ำ อลาดินรู้สึกเหนื่อยและไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรเจ้ายักษ์อีกต่อไป แต่เขาก็ต้องพยายามสั่งให้เจ้ายักษ์ทำงาน ไม่อย่างนั้นมันจะกินเขา เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ทันใดนั้นอลาดินก็ยิ้มอกมา เขาคิดออกแล้วว่าจะให้เจ้ายักษ์ทำอะไร...
“เราต้องการเสาสูงๆ สักต้นหนึ่ง”
เ จ้ายักษ์ก็ดีดนิ้วอีกครั้งหนึ่ง แล้วเสาที่สูงมากก็ปรากฏขึ้น อลาดินสั่งต่อทันที...

“เอาล่ะ เราต้องการให้เจ้าปีนขั้นไปจนถึงยอดเสา พอเจ้าปีนขึ้นไปถึงแล้วเจ้าก็ปีนลงมา พอเจ้าถึงข้างล่างแล้วก็ให้ปีนขึ้นไปใหม่ ปีนขึ้นปีนลงอย่างนี้ ห้ามหยุด”

เจ้ายักษ์ต้องทำตามที่เจ้านายสั่ง มันจึงปีนขึ้นปีนลงเสาต้นนั้น อลาดินพูดกับยักษ์ว่า...
“เจ้าปีนไปอย่างนี้นะ ห้ามหยุด ตอนนี้เราจะไปนอนก่อนล่ะ พอพรุ่งนี้เช้า เราจะเรียกเจ้าลงมาแล้วเราจะใช้เจ้าต่อ ถ้าเราไม่มีอะไรจะใช้เจ้า เราจะให้เจ้ากลับไปปีนเสาขึ้นลงเช่นนี้ใหม่”

ด้วยวิธีนี้จึงทำให้อลาดินอยู่ได้อย่างเป็นสุขสืบมา

ยักษ์ในนิทานเรื่องนี้เปรียบได้กับจิตใจของเรา เมื่อยักษ์มันไม่มีการควบคุม มันจะกลับมากินอลาดิน จิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่ควบคุมจิตใจ มันจะล่องลอยและคิดนั่นคิดนี่ตลอดเวลา จิตใจที่ไร้การควบคุมมักจะวางแผนอยู่ตลอด มันจะสร้างปัญหา ความยุ่งยาก ความเครียด และความสับสนให้กับเรา ซึ่งจะทำให้เราไม่มีความสงบ มันเป็นการยากที่จะทำให้จิตใจเราหยุดคิด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ทำให้จิตใจของเรามีงานทำที่เราควบคุมได้

อลาดินให้เจ้ายักษ์ทำงานโดยสั่งให้ปีนเสาขึ้นๆ ลงๆ เสาเปรียบเสมือนลมหายใจของเรา เราควรท่องคำภาวนาสั้นๆ ไปพร้อมๆ กับลมหายใจเข้าออก เราควรใช้ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญที่เราเคารพบูชาหรือบทสวดมนต์บางบท ตัวอย่างเช่น สำหรับชาวพุทธ เราสามารถใช้คำว่า พุทโธ เมื่อเราหายใจเข้า เราก็ภาวนาคำว่า “พุทธ” เมื่อเราหายใจออก เราก็ภาวนาคำว่า “โธ” ในใจของเรา

การที่เรามีสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ช่วยให้จิตใจของเราไม่คิดฟุ้งซ่าน แล้วสร้างปัญหาตามมาให้กับเรา ในที่สุดเราจะค่อยๆ มีสมาธิมากขึ้นๆ และจิตใจของเราก็จะมีความสงบเยือกเย็น

อุปสรรคและปัญหาชีวิต

ในชีวิตของเราแต่ละคนนั้น ย่อมหนีอุปสรรคและปัญหาชีวิตต่างๆ ไปไม่พ้น อุปสรรคและปัญหาเหล่านี้มีอยู่มากมาย และเราจะต้องพบอยู่เกือบตลอดเวลา หากเราคิดว่าอุปสรรคเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องลำบาก ปัญหาต่างๆ เป็นเรื่องยุ่งยากเกินกว่าจะแก้ไข เราจะเกิดความกลุ้มใจและมีแต่ความทุกข์

วิธีแก้ก็คือ เมื่อเราพบปัญหาและอุปสรรคใดๆ ก็ตาม ให้คิดว่าเรากำลังมีโอกาสดีที่จะฝึกฝนตัวของเราให้ก้าวหน้า ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะอุปสรรคเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น ดังนั้นเราควรที่จะดีใจที่มีโอกาสพบอุปสรรคในชีวิตมากกว่าที่จะเสียใจหรือกลุ้มใจ

สมมติว่าเรากำลังเดินไปบนถนนสายหนี่ง และพบกับกำแพงสูงขวางกั้นทางเดินของเราอยู่ข้างหน้า ถ้าเราเกิดความท้อถอย รู้สึกว่ากำแพงนั้นสูงเกินกว่าจะปีนได้ และยอมแพ้ง่ายๆ ด้วยการเดินหันหลังกลับไปทางเดิม เราก็จะไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราพยายามหาทางข้ามกำแพงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น พยายามหาก้อนหิน กิ่งไม้ ฯลฯ เพื่อมาวางกองให้สูงขึ้นๆ แล้วปีนข้ามไป ก็เท่ากับว่าเราได้หาทางฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิต...และเมื่อทำสำเร็จ เราก็จะรู้สึกภาคภูมิใจที่เสามารถทำสิ่งที่ยากลำบากได้สำเร็จ จิตใจของเราจะเข้มแข็งขึ้น มีกำลังกาย กำลังใจเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราสามารถเดินทางต่อไปได้อีกไกล และเมื่อเราพบกำแพงอื่นๆ อีก เราจะมีรู้สึกกลัว เพราะเราสามารถผ่านอุปสรรคเช่นนั้นมาก่อนแล้ว ความท้อถอยหรือวิ่งหนีไปโดยไม่คิดแก้ไข ไม่ได้ช่วยให้เราสบายใจขึ้น เพราะถึงอย่างไรเราก็หนีอุปสรรคในชีวิตไปไม่พ้น

ดังนั้นเมื่อเราพบปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ ขอให้เราคิดถึงมันในแง่ดี คิดว่ามันมีประโยชน์ต่อเรา ถ้าขาดอุปสรรคก็เท่ากับเราขาดประสบการณ์ ที่จะช่วยให้เรามีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิต ขาดความก้าวหน้าในชีวิต เพราะฉะนั้น จงอย่าวิ่งหนีปัญหาต่างๆ แต่ขอให้หันหน้าเข้าต่อสู้ เผชิญหน้ากับมันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส และหาทางแก้ไขให้หลุดพ้นจากอุปสรรคเหล่านั้น ถ้าเราสามารถทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อๆ ไป เมื่อเราพบปัญหาหรืออุปสรรคเช่นนี้อีก เราจะสามารถเข้าใจและแก้ไขได้ทันที เราจะมีจิตใจที่เข้มแข็ง และมีความสามารถในการแก้ปัยหาเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญ... เราจะมีแต่ความสุขในชีวิต

ตั้งโปรแกรมจิต

เราคิดอย่างไร เราก็เป็นเช่นนั้น เราคือสิ่งที่เราคิด ขอให้เราดูตัวอย่างเปรียบเทียบจากเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เมื่อเราต้องการให้เครื่องทำงาน เราต้องใส่โปรแกรมข้อมูลที่ถูกต้องเข้าไป เครื่องคอมพิวเตอร์จึงจะทำงานประสานกับซอฟแวร์ที่เราใส่เข้าไปได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราตั้งโปรแกรมในความจำของเรา เราก็จะเริ่มปฏิบัติตามสิ่งที่เราใส่เข้าไปจนเป็นนิสัย ทั้งร่างกายและจิตใจก็จะถูกควบคุมให้เป็นไปตามนั้นโดยอัตโนมัติ

ครั้งหนึ่ง มีแม่คนหนึ่งมักจะอุ้มลูกไปที่ตลาด วันหนึ่งเธอเดินผ่านร้านขายผลไม้ และสังเกตว่าลูกชายมีกล้วยอยู่ในมือ เธอพอใจมากและบอกกับลูกชายว่า...
“ดีแล้วลูก ต่อไปนี้ลูกไม่อดตายแล้ว แม่เห็นแล้วว่าลูกสามารถเลี้ยงดูตัวเองต่อไปในอนาคตได้”
เด็กชายคนนี้เติบโตขึ้น และมักจะไปขโมยของที่ตลาดอยู่เสมอ

หลายปีผ่านไป ตอนนี้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม วันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจไปปล้นธนาคาร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามต่อสู้ และก็ถูกเด็กหนุ่มคนนี้ยิงเสียชีวิตไป ต่อมาเข้าก็ถูกตำรวจจับได้ และถูกจับขึ้นศาล เขาถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิต ในวันที่เขาจะถูกประหาร เขาขอพบแม่ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ผู้คุมได้อนุญาตให้แม่เข้าพบ
เมื่อแม่มาถึง ชายหนุ่มโกรธมาก และว่าแม่ของเขาเองว่า...
“ถ้าวันนั้นที่แม่พาผมไปตลาด แม่ดุว่าผมไม่ให้ไปลักขโมยใคร ผมก็คงไม่ต้องมีวันนี้หรอก!”

นี่คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราทุกคน เราควรจะแก้ไขความผิดของเราโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเราปล่อยให้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็เท่ากับว่าเรากำลังตั้งโปรแกรมในจิตใต้สำนึกของเรา แล้วมันไม่ง่ายเลยที่เราจะลบมันออกไป

ดับความโกรธ

มีอาจารย์ธรรมะท่านหนึ่ง มีลูกศิษย์มากมาย วันหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งมีนิสัยใจร้อน และเจ้าอารมณ์เข้ามากราบอาจารย์ และถามปัญหาอาจารย์ว่า...
“สวรรค์-นรก มีจริงหรือไม่”
อาจารย์ก็ตอบสั้นๆ ว่า “มีจริง”

ลูกศิษย์คนนี้ไม่เคยเชื่อว่า สวรรค์-นรก มีจริง ก็เริ่มเถียงอาจารย์ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แต่อาจารย์ก็ยังคงยืนยันสั้นๆ ว่า “สวรรค์-นรก มีอยู่จริง” ขณะที่เถียงอยู่นั้น ลูกศิษย์ผู้นี้เกิดลืมตัว หมดความอดกลั้น ใช้ถ้อยคำโต้เถียงอาจารย์อย่างรุนแรงด้วยความโมโหเป็นต้นเหตุ อาจารย์จึงพูดด้วยความสงบว่า...
“เวลานี้ท่านกำลังอยู่ในนรก”

นิทานเรื่องนี้สอนให้เราเข้าใจว่า... ความทุกข์หรือความสุขนั้นอยู่ภายในจิตใจของเราเอง คนที่มีความโกรธ โมโหโทโส เอาแต่ใจตัวเอง จะเป็นผู้ที่มีความทุกข์ทรมานใจ เปรียบเสมือนคนที่อยู่ในนรกหรือคนป่วยซึ่งมีจิตใจไม่ปกติ สมมติว่าเราเห็นเด็กนอนเจ็บอยู่บนเตียง เราจะโมโหหรือลงโทษว่า เขาเป็นคนเลวได้อย่างไร เพราะการได้เห็นคนเจ็บมักจะก่อให้เกิดความสงสาร เมตตา อยากจะหาทางช่วยเหลือเด็กคนนั้นให้หายจากความเจ็บป่วย ในทำนองเดียวกัน คนที่โมโหเรา และหาเรื่องทะเลาะกับเรา ก็เปรียบเสมือนเด็กที่กำลังนอนเจ็บอยู่นั่นเอง เหตุที่เปรียบเสมือนเด็กก็เพราะเขายังอ่อนความรู้ที่จะควบคุมสติของตนเอง เมื่อเราทราบเช่นนี้ เราจะไปโมโหคนที่กำลังมีความทุกข์เช่นนี้ได้อย่างไร ตรงกันข้ามเราควรจะสงสารเขา และพยายามเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานของเขา และหาทางช่วยเหลือเขาให้มากที่สุด

ถ้าเราคิดเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา เราก็จะสามารถดับความโกรธ ความโมโห หรือความเกลียดชังที่เกิดขึ้นได้ และถ้าเราฝึกสมาธิแผ่เมตตาทุกๆ วัน ก็จะเป็นการช่วยดับความโกรธ ความโมโหของเราออกไปให้หมดได้ด้วย

อีกหนึ่งแง่มุมที่สำคัญก็คือ... เมื่อเราโกรธ หัวใจของเราจะเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วขึ้น หน้าแดง คิ้วขมวด กล้ามเนื้อเกร็งตัว และร่างกายจะฉีดสารพิษอะดรีนาลินเข้าไปในเส้นเลือด อุณหภูมิในร่างกายก็จะสูงขึ้น อาการเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความไม่สงบสุขให้เกิดขึ้น และยังทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา วิธีที่จะเอาชนะความโกรธนั้น มีหลายวิธี...

• ดื่มน้ำเย็น 1 แก้ว เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายและทำให้สารพิษในร่างกายได้จางลง
• หายใจลึกๆ ช้าๆ และเป็นจังหวะ ทั้งนี้เพราะกายกับใจมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เมื่อเราโกรธก็จะหายเร็ว เมื่อเราหายใจเร็วก็จะหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เมื่อมีความสงบก็จะหายใจช้าลง ดังนั้นการหายใจลึกๆ ช้าๆ ก็จะช่วยให้เกิดความสงบและสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
• มองดูหน้าบูดเบี้ยวของตัวเองในกระจก เพื่อเป็นการเตือนสติตัวเอง
• เดินออกไปจากบริเวณที่เรามีความโกรธ เพราะมันมีบรรยากาศที่ทำให้เกิดความโกรธ มีพลังที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเรา การเดินออกไปห่างๆ จากจุดนั้นก็จะเป็นการคลี่คลายความโกรธได้ดี
• นอนเอนหลังลงไปสักพักหนึ่ง จะทำให้จิตใจสงบขึ้น
• ท่องคำพูดที่ดีๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือสวดมนต์ภาวนาหลายๆ ครั้งๆ ก็จะช่วยควบคุมความคิดให้เกิดความสงบได้

ลิงในจิตใจ

นายสมศักดิ์…นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ต้องเดินทางไปทำการค้าในต่างประเทศอยู่บ่อยๆ วันหนึ่งก็เกิดความรู้สึกว่าเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปมากมายเลย เขาจึงพยายามคิดหาหนทางที่จะลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง เขานั่งครุ่นคิดอยู่อย่างเคร่งเครียด ว่าทำอย่างไรจึงจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้จนถึงขั้นที่คิดว่า...เขาน่าจะเหาะไปในอากาศและเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียค่าโดยสารเครื่องบิน และในขณะนั้น เพื่อนสนิทของนายสมศักดิ์ก็เข้ามาหาพอดี...

“ศักดิ์...เพื่อนรัก ผมมีข่าวดีจะบอก มีฤาษีองค์หนึ่งมาปักกลดอยู่ที่ริมแม่น้ำ ฤาษีองค์นี้สามารถที่จะเดินบนน้ำและเหาะในอากาศได้ ท่านพร้อมที่จะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ลูกศิษย์ที่ท่านเห็นว่าเหมาะสม...”

นายสมศักดิ์ดีใจที่ได้ยินข่าวนี้ รีบเดินทางออกไปพบฤาษีพร้อมกับเพื่อนทันที และอ้อนวอนขอให้ฤาษีสอนวิชาเหาะในอากาศ ฤาษีก็สอนว่า...

“ลูกเอ๋ย ทุกเช้าขอให้ตื่นนอนเวลา 5.00 น. แล้วนั่งหลังตรง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกแล้วเปล่งเสียงโอม 1 ชั่วโมงเต็มๆ หลังระยะเวลา 1 เดือน ลูกก็จะสามารถเหาะในอากาศได้”

นักธุรกิจหนุ่มรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงง่ายเช่นนี้ จากนั้นก็กราบเท้าฤาษี ขอบคุณท่านที่ได้สอนวิชาและก็กล่าวลาฤาษี ในขณะที่ลุกขึ้นจะกลับ ฤาษีก็เตือนว่า...
“อาจารย์ลืมบอกอะไรไปอย่างหนึ่ง ระหว่างที่นั่งเปล่งเสียงโอมอยู่นั้น ห้ามมิให้คิดถึงลิงนะ”
นายสมศักดิ์ตอบ...
“ง่ายนิดเดียวครับ ผมไม่คิดถึงลิงอย่างแน่นอน”
เช้าวันรุ่งขึ้น นายสมศักดิ์ลุกขึ้นตั้งแต่ตี 5 และเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำของฤาษี และสิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ “เราจะต้องไม่คิดถึงลิง” หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปสิบนาที ปรากฏว่านายสมศักดิ์ได้คิดถึงลิงที่เขาได้เคยไปเห็นตามสถานที่ต่างๆ

นายสมศักดิ์โกรธตัวเองมาก เขาพยายามเต็มที่ที่จะไม่คิดถึงลิง แต่ลิงจำนวนมากมายก็กระโดดเข้ามาในจิตใจของเขา หลังจากนั่งได้ 1 ชั่วโมง ปรากฏว่าเขาคิดถึงแต่ลิงชนิดต่างๆ มากมาย

ทุกๆ เช้า นายสมศักดิ์พยายามฝึกปฏิบัติ หวังว่าจะต้องทำให้ได้ แต่แล้วเขาก็ได้เจอแต่ลิงเป็นจำนวนมาก กระโดดเข้ามาในจิตใจของเขา เวลาผ่านไป 1 เดือน เขาก็กลับไปหาฤาษีแล้วตะโกนบอกอาจารย์...
“ผมขอคืนคำสอนของอาจารย์ครับ แทนที่อาจารย์จะสอนให้เหาะในอากาศ อาจารย์กลับให้ผมพิจารณาลิงเป็นล้านๆ ตัว”
ฤาษีหัวเราะ แล้วพูดด้วยคำพูดที่อ่อนหวานนิ่มนวล...
“อาจารย์ได้พยายามสอนให้เธอเห็น่วา จิตใจของเธอนั้นเป็นอย่างไร ตราบใดที่เราไม่สามารถควบคุมจิตของเรา เราก็ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้อย่างแท้จริง อาจารย์ยังไม่ได้พูดถึงวิชาตัวเบาเลย... สิ่งแรกเธอจะต้องควบคุมความคิดให้สงบนิ่งให้ได้ เมื่อสมาธิแน่วแน่แล้วจึงใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นปาฏิหารย์ นั่นก็คือการยกระดับจิตใจให้สูงที่สุด...”

ผ่อนคลายทั้งกายทั้งใจ

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักวิธีการผ่อนคลายทั้งกายและใจ เราจะสูญเสียพลังไปโดยไม่จำเป็นตลอดทั้งวัน และตอนกลางคืนเรามักจะนอนหลับไม่สนิทด้วย การผ่อนคลายที่กล่าวนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องกลายเป็นคนเกียจคร้าน อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร หรือนอนหลับพักผ่อนบ่อยๆ แต่ตรงกันข้าม คนที่รู้จักวิธีผ่อนคลายจะเป็นคนที่มีทั้งกำลังกายและกำลังใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ดี คล่องแคล่วว่องไว เขาจะใช้พลังเท่าที่จำเป็นเท่านั้น จะไม่มีการสูญเสียพลังงานไปโดยไม่จำเป็นเลย

เมื่อใดที่ร่างกายของเราเคลื่อนไหว เราก็จะสูญเสียพลังไป และก่อนที่ร่างกายของเราจะเคลื่อนไหวได้ เราจะต้องมีความคิดเกิดขึ้นเสียก่อน ซึ่งความคิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องใช้พลังงานเช่นเดียวกัน เราจะเห็นว่าคนที่คิดมากหรือจิตใจฟุ้งซ่านจะรู้สึกอ่อนเพลียได้ง่าย ความคิดอาจเกิดขึ้นในจิตสำนึกหรือในจิตใต้สำนึกก็ได้ ถ้าเรารู้ตัวในขณะที่เรากำลังคิดอยู่ ความคิดนั้นจะเกิดจากจิตสำนึก ซึ่งจะส่งสัญญาณไปยังจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกก็จะส่งคลื่นความคิดนั้นเหมือนกระแสไฟฟ้าออกจากสมอง ไปตามเส้นประสาทต่างๆ และไปถึงกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เราต้องการจะเคลื่อนไหวได้ ขบวนการทั้งหมดนี้เราจะต้องสูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมาก

ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ก็อาจจะมีการสูญเสียพลังได้ เช่น การเกร็งตัว กล้ามเนื้อจะเกร็งตัวได้ก็ต่อเมื่อเราส่งสัญญาณออกจากสมองไปตามเส้นประสาทต่างๆ ทำให้สูญเสียพลังไป

การพักผ่อนที่แท้จริงจะไม่ค่อยมีการสูญเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ กล้ามเนื้อและเส้นประสาทจะได้พักผ่อนจริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะกลายเป็นคนที่เฉื่อยชาหรือเกียจคร้าน คนที่ได้พักผ่อนจริงๆ จะเป็นผู้ที่มีความอดทน มีกำลังมากมาย แข็งแรง จิตใจผ่องใส เมื่อถึงคราวจำเป็นก็จะคิดหรือทำงานได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว

แมว...ในขณะที่มันนั่งอยู่นิ่งเฉย มันไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนใดๆ แต่พอมีหนูผ่านมาใกล้ๆ มันจะรอจังหวะที่เหมาะสม ระหว่างที่รอ มันก็ยังคงอยู่นิ่ง ไม่มีการเกร็งตัว และเมื่อได้จังหวะ มันจะกระโดดตะครุบหนูอย่างรวดเร็วและฉับไว เราก็ควรจะเป็นเหมือนแมว พักผ่อนอยู่นิ่งเฉยไม่เกร็งตัว เมื่อถึงโอกาสก็จะเคลื่อนไหวไปได้อย่างรวดเร็ว

เราควรจะเข้าใจว่าการกระทำทุกชนิดจะต้องเริ่มต้นจากความคิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดจากจิตสำนึกหรือจากจิตใต้สำนึก และในทำนองเดียวกันการกระทำต่างๆ ก็จะมีผลสะท้อนกลับมายังจิตใจของเราอีกทีหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อเรามีความรู้สึกโกรธ เรามักจะกำมือและเกร็งตัว แต่ในขณะที่เราไม่ได้โกรธ แล้วเราไปเกร็งตัวและกำมือ เราจะกลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย พอมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะทำให้เราโกรธได้ทันที เมื่อเราทราบว่าเป็นเช่นนี้แล้ว หากตอนนี้เราเป็นคนที่โกรธคนง่าย เราก็จะช่วยให้ตัวเองมีความสุขสบายใจด้วยการยิ้ม หรือฝึกยิ้มบ่อยๆ แล้วไม่นาน เราจะรู้สึกสบายใจ มีความสุข และเราก็จะกลายเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส คนที่ได้พบได้เห็นเราก็จะมีความสุขไปด้วย ถ้าเราหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา คนที่เห็นเราหน้าบึ้งก็จะไม่สบายใจไปด้วย

สรุปแล้วเราควรจะหัดพักผ่อนจริงๆ ฝึกจิตใจให้สงบ ตัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไป อย่าคิดวิตกกังวล กลุ้มอกกลุ้มใจ หรือมีอารมณ์ราคะ โมหะ โทสะ คนที่ไม่สบายใจบ่อยๆ มีอารมณ์หงุดหงิด หรือมีความกลัว จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะฉะนั้นขอให้เราเริ่มมีการพักผ่อนอย่างแท้จริง พยายามฝึกจิตใจให้สงบ และยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

ศัตรูที่แท้จริงของเรา

เมื่อเราใช้คอมพิวเตอร์ เราใส่ข้อมูลเข้าไป เครื่องจะหาข้อมูลเก่าที่มีอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์จะเริ่มทำงานตามโปรแกรมคำสั่งที่อยู่ในหน่วยความจำ ถ้าไม่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยความจำ หรือข้อมูลขาดหายไป เครื่องก็จะทำงานไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราเห็นหรือได้ยินอะไร เราจะหาข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกซึ่งเราได้รับประสบการณ์มาจากอดีต แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน ก่อนที่จะปรากฏออกมาเป็นการรับรู้ ถ้าเราหาข้อมูลนั้นไม่เจอในจิตใต้สำนึก จิตสำนึกก็จะไม่รู้จักสิ่งที่เข้ามาทางประสาทสัมผัสของเรา สมมติว่าข้อมูลที่เราได้รับมาจากจิตใต้สำนึกนั้น เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เราหงุดหงิด จิตใต้สำนึกก็จะส่งอารมณ์ความรู้สึกนี้ไปยังจิตสำนึกด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางครั้ง เราเห็นบางสิ่งบางอย่างแล้วเรารู้สึกอารมณ์เสีย หรือได้ยินบางสิ่งบางอย่างแล้วเราหงุดหงิด ดังนั้นเราควรจะตระหนักว่า ศัตรูที่แท้จริงของเราอยู่ภายในตัวเราเอง มันอยู่ในจิตใต้สำนึก มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วถูกบันทึกไว้ด้วยการกระทำและความคิดของเรา

เพื่อที่จะได้พบความสุขอันถาวร มนุษย์จะต้องรู้จักปราบศัตรูของเรา...ศัตรูที่แท้จริงของเราจะคอยดึงให้เราตกต่ำลงไปอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราเกิดความทุกข์ และเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา

ศัตรูที่แท้จริงของเราคืออะไร? ศัตรูที่แท้จริงของเราไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่สิ่งใดๆ ภายนอก ศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์ คืออารมณ์ที่มีอยู่ในตัวเรา.. ความโกรธ ราคะ ความอิจฉา ความโลภ ความหยิ่งยะโส ความเกลียด ความยึดมั่น ความกลัว และความวิตกกังวล... นั่นแหละคือศัตรูของมนุษย์!

วิถีทางที่จะเอาชนะอารมณ์ที่มีอยู่ในตัวเราก็คือ การแสวงหาความสงบสุข ความสงบสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักควบคุมตนเอง เมื่อเราทำจิตใจของเราให้สงบนิ่ง ใจของเราก็เงียบสงบอย่างสิ้นเชิง อารมณ์ต่างๆ ที่ส่งมาจากจิตใต้สำนึกจะไม่สามารถไปกระทบกระเทือนจิตสำนึกได้อีกต่อไป

อารมณ์เปรียบเสมือนคลื่น ประเดี๋ยวก็ตื่นเต้น ประเดี๋ยวก็กลุ้มอกกลุ้มใจ ดังนั้นเราจึงมีทั้งความสุขและความทุกข์สลับกันไปตลอดเวลา เคล็ดลับก็คือ เราต้องลดความไม่สม่ำเสมอกันของคลื่น จนกระทั่งคลื่นต่างๆ ได้สงบลงเป็นเส้นที่ราบเรียบ เมื่อนั้นเราก็จะสงบสุข

การเอาชนะอารมณ์ไม่ใช่หมายถึงการเก็บกดอารมณ์โกรธ โลภ อิจฉา ริษยา และอารมณ์อื่นๆ เอาไว้ เพราะเมื่อเราเก็บกดอารมณ์ของเราเอาไว้ อารมณ์เหล่านั้นจะถูกอัดไว้จนเต็มกำลัง แล้วมันก็จะระเบิดออกมา เหมือนกับลูกโป่ง ถ้าเราไปกดลูกโป่งไว้ มันจะมีแรงดันของอากาศมากขึ้นๆ แรงดันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรายิ่งกดมันไว้อีก แรงดันจะเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด แล้วลูกโป่งก็จะระเบิด มีคนจำนวนไม่น้อยที่เก้ฐกดอารมณ์ของตนเอง จนในที่สุดเขาก็ต้องเสียสติ สับสน จิตใจไม่ปกติ จนต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช

ดังนั้นอย่าไปเก็บกดอารมณ์ของเรา แต่ทุกครั้งที่จิตใต้สำนึกส่งสัญญาณเกี่ยวกับอารมณ์ออกมา เราก็เพียงแต่ยิ้มและรู้เสียว่ามันเกิดจากความทรงจำในอดีต นั่นเป็นอดีต มันไม่ได้มาจากข้างนอก แต่มันมากจากภายในตัวเราเอง เนื่องจากว่าเราต้องมีชีวิตอยู่กับมัน ถ้าเรารู้จักมันและเป็นมิตรกับมัน ไม่ต่อสู้กับมัน เราจะสามารถอยู่กับมันได้อย่างสงบสุขได้เร็วขึ้นเพียงนั้น

ในยามค่ำคืน ทุกสิ่งทุกอย่างดูมืดไปหมด แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ความมืดก็หายไป ดวงอาทิตย์ไม่ต้องใช้กำลังขับไล่ความมืด ดวงอาทิตย์เพียงแต่โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าอย่างเงียบกริบ แล้วความมืดก็จะอันตรธานหายไป เมื่อมีแสงสว่าง ความมืดก็อยู่ไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน เราควรจะนำแสงสว่างมาสู่ชีวิตของเรา แสงสว่างนี้เปรียบเหมือนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ อันได้แก่ ความสงบสุข ความรัก ความประพฤติชอบ ความจริง และการไม่เบียดเบียนคนอื่น เมื่อเรานำคุณค่าเหล่านี้มาสู่ชีวิตของเราแล้ว อารมณ์ก็จะไม่สามารถรบกวนความสงบสุขของเราได้อีกต่อไป

ลิงสามตัว

…ตัวแรกเอามือปิดตา มันจะไม่ดูความชั่ว
…ตัวที่สองเอามือปิดหู มันจะไม่ฟังความชั่ว
…ตัวที่สามเอามือปิดปาก มันจะไม่พูดความชั่ว

ขอให้จำลิงสามตัวนี้ไว้ให้ดี และพยายามปฏิบัติตามให้ได้ ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม เราก็คงจะเป็นเหมือนลิงธรรมดาทั้งกายและใจ เป็นลิงที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง กระโดดโลดโผนไปตามที่ต่างๆ ไม่มีความสงบจิตสงบใจ

ลิงตัวที่ 1 ไม่ดูความชั่ว
มนุษย์เราจะนั่งปิดตาอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อใดที่เราเปิดตา...ให้ฝึกมองทุกสิ่งทุกอย่างในแง่ดี ให้เห็นความดีงามของทุกคน ให้เห็นความสวยงามในธรรมชาติ แล้วจิตใจของเราก็จะเบิกบาน มีความสุข

เราจะต้องเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความเมตตาต่อทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิต จะไปไหนก็ให้แผ่เมตตาไปให้ทั่ว มีความคิดที่ดีต่อสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ แล้วเราก็จะสามารถมองเห็นความดีอยู่ทั่วจักรวาล

ลิงตัวที่ 2 ไม่ฟังความชั่ว
ลิงตัวที่สองนั้นไม่ได้สอนให้เราปิดหูของเราจริงๆ แต่สอนให้เรารู้จักบังคับอารมณ์ของเรา...ถ้ามีใครมาต่อว่าเรา ด่าว่าเรา ด้วยความโกรธแค้นหรือมีใครมาเล่าเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับคนอื่น หรือมีคำพูดที่หยาบคาย ที่เป็นการกระตุ้นอารมณ์ของเรา ถึงแม้เราจะได้ยินก็ปล่อยให้มันออกไปจากตัวเรา โดยที่ไม่มีผลต่อจิตใจของเรา อย่าได้เกิดอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีจากการได้ยินคำพูดของคนอื่น เราจะไม่มีวันก้าวหน้าได้จริง หรือจะมีความสุขได้จริง ถ้าเรายังเอาชนะอารมณ์ของเราเองไม่ได้

ถ้ามีใครมาต่อว่า หรือตักเตือนเรา ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือไม่ก็ตาม ให้เราคิดพิจารณาเสียก่อนว่าที่เขาพูดไปนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า อย่าได้โกรธหรือโมโห เพราะเราจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้อะไรเลย ที่เขาพูดไปนั้นอาจจะมีความจริงอยู่บ้าง บางทีตัวเรามองไม่เห็นความบกพร่องในตัวของเราเอง แต่คนอื่นเขามองเห็นได้ง่ายกว่า ดังนั้นถือว่าเขาเป็นเทวดาที่จะมาช่วยเรา จงแผ่เมตตาไปให้เขาและขอบคุณเขาในใจ... ถ้าเราได้พิจารณาแล้วและเห็นสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่มีความจริงเลย ก็ไม่ต้องไปโต้เถียงหรือเสียเวลาอธิบาย เพราะคนที่โมโหนั้นย่อมไม่ฟังเหตุผล แต่ก็ให้เราแผ่เมตตาและขอบคุณเขาในใจเช่นเดียวกัน เพราะเขาให้โอกาสที่ดีสำหรับฝึกจิตใจให้แก่เรา เป็นประสบการณ์ที่วิเศษมาก เราเรียนและก้าวหน้าได้ด้วยประสบการณ์เช่นนี้ ถ้าขาดประสบการณ์แบบนี้ แล้วเราจะฝึกการเอาชนะอารมณ์ของเราได้อย่างไร

ถ้าเขาโมโหเรา และเราสู้กลับด้วยความโมโหโทโสเช่นเดียวกันแล้ว เราจะยิ่งทำให้เขาเพิ่มกำลังและอาวุธเพื่อต่อสู้กับเรา เราจะทำให้เขาเลวลงไปอีก และทำให้ตัวเราเลวลงไปด้วย คนที่ฉลาดในการต่อสู้ เขาจะไม่หาทางกระตุ้นให้ศัตรูของเขาเพิ่มกำลังและอาวุธ แต่จะหาวิธีให้ศัตรูลดอาวุธและลดกำลังให้น้อยลง... ด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ

ถ้าใครมาเล่าเรื่องความเลวของคนอื่น หรือมานินทาเกี่ยวกับคนอื่นให้เราฟัง เราต้องพยายามหลบหลีก อย่าสนับสนุนให้เขาเล่าต่อไป ในทำนองเดียวกัน อย่าสนับสนุนการพูดคุยเช่นเดียวกัน และเราจะต้องเป็นผู้ที่ชี้นำการพูดคุยให้กลับไปในทางที่ดีแทน

ลิงตัวที่ 3 ไม่พูดความชั่ว
การที่เราเอาความเลวของคนๆ หนึ่งไปนินทาให้คนอื่นฟังนั้น จะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างมากต่อตัวเราเอง

ประการแรก คนที่ชอบนินทาเกี่ยวกับคนอื่นนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนๆ นั้นมีความผิดอยู่ในตัวเอง แต่ต้องการลืมเสียโดยการขุดความเลวของคนอื่นไปพูด เป็นการทำให้รู้สึกว่าตัวเองดี ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่การนินทาเกี่ยวกับคนอื่นนั้น จะยิ่งเป็นการฝังความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีในตัวเองให้มากขึ้น เพราะคนเราพูดอะไรมากๆ ก็คิดตามนั้น และก็มักจะเป็นไปตามที่เราคิดอยู่เสมอ

ประการที่สอง เรากำลังช่วยให้ผู้ฟังมีนิสัยเลวลงตามเรา เพราะเขาก็คงจะเอาเรื่องนั้นไปนินทาต่อ นอกจากนั้นคนที่ฟังและเอาไปพูดต่อก็มักจะเพิ่มตรงนี้นิดตรงนั้นหน่อย ขยายความออกไปให้มากขึ้น ซึ่งพอพูดต่อๆ ไปมากๆ เข้าก็จะทำให้ไม่เหลือความจริงอยู่เลย

ประการที่สาม การที่เราประกาศความเลวของคนๆ หนึ่งนั้น จะไม่ช่วยให้เขาเป็นคนดึ้นเลย แต่ตรงกันข้าม อาจจะช่วยให้เขาเลวลง เพราะถ้าเขาเกิดรู้ขึ้นมาว่ามีคนไปนินทาเกี่ยวกับเขา เขาก็จะโกรธ ไม่พอใจ กลายเป็นศัตรูกันในที่สุด และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ก็ตาม แต่ผู้คนมากมายก็จะคิดกับเขาไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งก็จะเป็นผลเสียต่อเขา

ประการที่สี่ เป็นส่วนที่สำคัญมาก และมนุษย์เราส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องกัน นั่นคือ... พลังความคิด พอเราคิดสิ่งที่ไม่ดี เราก็จะเพิ่มพลังที่ไม่ดี ทำให้คนรอบๆ ตัวเราคิดไม่ดีได้ง่ายขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว การนินทามักจะเป็นการพูดถึงความเลวที่เราคิดกันขึ้นมาเอง เขาอาจจะไม่เลวอย่างที่เราคิดเลย แต่พลังความคิดของเรารวมทั้งผู้อื่นที่นินทาต่อๆ กันไปก็จะถึงตัวเขา ทำให้เขาเลวไปอย่างที่เราคิด ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

สรุปแล้ว การนินทาเป็นสิ่งที่เราต้องระวังมากที่สุด เป็นสิ่งที่มีข้อเสียหลายประการ ถ้ามีใครมานินทาให้ฟัง ให้เราคิดเสียว่า “มันอาจจะไม่จริงและเราไม่สนใจ” และพยายามหลีกเลี่ยงคนนินทา ถ้าตัวเราเองเริ่มมีความคิดที่จะนินทา ให้เราเริ่มพูดเกี่ยวกับความเลวของเราเองออกมาดังๆ ให้ได้ถึง 5 นาที แล้วเราจะไม่นินทาเกี่ยวกับคนอื่นอีก มนุษย์เรานินทากันได้เป็นชั่วโมงๆ แต่พอมีใครพูดเกี่ยวกับความเลวของเราให้เราฟังเสีย 10 นาที เราก็จะโมโหไม่พอใจ ในเมื่อตัวเราเองไม่ชอบก็ต้องฝึกที่จะไม่ทำเช่นเดียวกัน

เราจะต้องหัดพูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งมิได้หมายความว่า สิ่งใดที่เป็นความจริงเราจะต้องพูดออกมา เพราะการพูดความจริงบางครั้งอาจจะไม่เป็นประโยชน์ แต่ตรงกันข้ามอาจจะเป็นโทษก็ได้ เช่น มนุษย์เราไม่ชอบให้ใครมาตำหนิต่อว่า หรือพูดความจริงเกี่ยวกับความเลวของเขา ถ้าเราไปพูด เขาก็จะโกรธโมโหเรา แทนที่จะช่วยเขา เรากลับทำให้เขายิ่งตาบอดต่อความเลวของเขา ดังนั้นเราควรจะถือกฏไว้ว่า อย่าตักเตือนใครหรือสั่งสอนใคร ยกเว้นเขาจะมาขอคำแนะนำจากเรา ซึ่งเราจะต้องพูดด้วยวาจาที่อ่อนหวาน และใช้แต่คำพูดที่ดีๆ

เสียงที่เราได้ยิน

หูของเราจะรับฟังแต่สิ่งที่ดีงาม… เช่นเดียวกับภาพที่สะท้อนเข้ามาในตาของเราโดยปราศจากความชั่ว เสียงก็เป็นเช่นเดียวกับแสง หากเราถามนักวิทยาศาสตร์อีกครั้ง่วามีความชั่วอยู่ในเสียงหรือไม่ ทำไมเราจึงไม่พอใจเมื่อได้ยินคนพูดไม่ดีกับเรา นักวิทยาศาสตร์จะวิเคราะห์ว่า เสียงก็คือการสั่นสะเทือนของอากาศ อากาศประกอบด้วยโมโลกุลของออกซิเจน ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ ที่มารวมตัวกันเป็นอากาศ บางแห่งโมเลกุลของก๊าซเหล่านี้รวมกันอยู่หนาแน่น ก็เรียกว่าความดันอากาศต่ำ

จากการวิเคราะห์ เราพบว่าเสียงเป็นเพียงอากาศที่สั่นสะเทือน ไม่มีความชั่วอยู่ในโมโลกุลของออกซิเจนหรือก๊าซใดๆ ทั้งสิ้น

ไม่ว่าเราจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม เราควรจะใช้เสียงนั้นให้เป็นประโยชน์เพื่อยกระดับจิตใจ ถ้ามีใครพูดคำหยาบกับเราหรือด่าว่าเรา เราต้องไม่ปล่ยอให้มันมาทำลายความสงบสุขของเรา เราต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้ บุคคลที่ด่าเราอยู่นั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นอาจารย์ของเรา ทำให้เรามีโอกาสที่จะเรียนรู้ในการบังคับอารมณ์ของเรา หากปราศจากเขา เราก็ขาดประสบการณ์ที่ดีเลิศ ที่จะสอนให้เราเอาชนะจุดอ่อนเรา เราควรจะขอบคุณเขาในใจและให้ความรักกับเขา... ไม่ใช่ไปโกรธเคืองเขา

มองผ่านกระจก

เวลาที่เรามองอะไร เราก็รับเอาภาพของสิ่งนั้น ภาพที่เรามองเห็นเกิดจากการที่มีแสงกระทบเข้ามาสู่ตาของเรา หากเราถามนักวิทยาศาสตร์ว่ามีความชั่วอยู่ในแสงที่มากระทบกับตาของเราหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ก็จะวิเคราะห์ว่า แสงซึ่งเป็นรูปหนึ่งของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบด้วยสนามแม่เหล็ก H ที่มีความถี่สูงมาอยู่ตั้งฉากกัน นักวิทยาศาตร์ยืนยันว่า ไม่มีความชั่วปรากฏในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า แสงเป็นเพียงพลังงานแต่ทำไมเราจึงเห็นความชั่ว ในเมื่อไม่มีความชั่วในแสง แล้วมันอยู่ที่ใดกันล่ะ หากพูดตามเหตุผลแล้ว ถ้าไม่มีความดีเข้ามาสู่ตัวเราแล้ว เราเห็นความไม่ดีนั้นได้อย่างไร แสดงว่าความไม่ดีต้องอยู่ภายในตัวเราอยู่แล้ว เราจะต้องกล้ายอมรับความจริงในข้อนี้ เพื่อที่เราจะได้เอาชนะศัตรูภายในตัวเราได้

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่ ภรรยาจะออกกำลังกายทุกๆ เช้า ในขณะที่เธอออกกำลังกายอยู่นั้น เธอก็จะมองออกไปนอกหน้าต่างและดูเพื่อนบ้านกำลังซักผ้าและตากผ้าอยู่ หลังจากออกกำลังกายแล้ว เธอจึงลงมารับประทานอาหารเช้ากับสามี และเล่าให้สามีฟังว่า...
“ชั้นไม่เข้าใจเลย เพื่อนบ้านของเรานี่ไม่รู้จักวิธีซักผ้าให้สะอาด เสื้อผ้าที่หล่อนซักยังสกปรกอยู่เลย ไม่รู้ว่าเธอใช้ผงซักฟองยี่ห้ออะไรกัน”
สามีก็บอกว่า...
“คุณไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเค้าทำไม เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็พอแล้ว”
แต่ภรรยาก็ไม่เชื่อฟังสามี เธอจะมองออกไปนอกหน้าต่างทุกเช้าเวลาออกกำลังกาย เพื่อดูเพื่อนบ้านซักผ้าและตากผ้า แล้วก็จะลงมารายงานให้สามีฟัง...
“เพื่อนบ้านของเราซักเสื้อสกปรกอีกแล้วล่ะ”
อยู่มาวันหนึ่ง ภรรยารีบลงมาบอกสามีด้วยความประหลาดใจ...
“นี่คุณ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้เพื่อนบ้านของเราซักผ้าได้สะอาดจริงๆ สงสัยเธอคงจะเปลี่ยนผงซักฟอกที่ใช้อยู่น่ะ สงสัยจังว่าวันนี้เธอซักผ้ายังงัย แหม! ขาวสะอาดจริงๆ”
สามีหัวเราะ และก็บอกว่า...
“คือผมเบื่อเหลือเกินที่คุณมารายงานผมทุกวันๆ ว่าผ้าบ้านโน้นสกปรก เช้านี้ผมตื่นก่อนคุณก็เลยไปเช็ดกระจกหน้าต่าง เมื่อก่อนหน้านี้กระจกหน้าต่างบ้านเราสกปรกมาก แต่วันนี้กระจกสะอาดใสแจ๋ว คุณเลยมองอะไรข้างนอกสะอาดไปหมดนั่นแหละ…”

นี่เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ถ้าเราใส่แว่นสีแดง เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีแดงไปหมด แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่เรามองไม่ได้เป็นสีแดง ถ้าเรานำกล้องถ่ายรุปคุณภาพต่ำไปถ่ายรูปคนที่อยู่ในห้อง ภาพที่ออกมาจะมืด ดูไม่คมชัด เราจะตำหนิคนที่อยู่ในห้องได้ไหมว่า พวกเขาทำให้ภาพไม่ชัด ไม่ได้หรอก ตัวกล้องต่างหากที่ไม่ดี เพราะมันปรับแสงไม่ได้หรือไม่มีตัวปรับภาพชัดอัตโนมัติ แต่ถ้าเรามีกล้องที่มีคุณภาพดี มีตัวปรับแสง มีตัวปรับภาพให้คมชัดอัตโนมัติแล้ว เวลาเราถ่ายรูป ภาพก็จะออกมาดี เห็นหน้าของคนได้ชัดเจน ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ตัวรับภาพนี่แหละที่เป็นสิ่งสำคัญ ในทำนองเดียวกัน ประสาทสัมผัสของเรารับข้อมูลจากภายนอก ตัวรับในที่นี้ก็ค้อจิตสำนึกของเรา ถ้าจิตใจของเราสกปรก เราก็จะมองเห็นสิ่งอื่นสกปรกไปด้วย เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำความสะอาดจิตใจของเรา ทำให้จิตใจของเราบริสุทธิ์ขึ้น เราก็จะเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี จิตใจของเราก็จะค่อยๆ สูงขึ้นๆ ในที่สุด

มองสิ่งต่างๆ ในแง่ดี

มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะมองดูสิ่งต่างๆ ในแง่ร้ายเสมอ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทรมาน รวมทั้งความไม่สบายใจ เนื่องจากเราชอบนำจุดอ่อนหรือข้อผิดพลาดของผู้อื่นมาเยาะเย้ยถากถาง ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่ฝ่ายตรงกันข้าม และนำมาซึ่งการทะเลาะวิวาท

เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่จะเป็นไปเฉพาะบุคคลต่อบุคคลเท่านั้น หากเกิดขึ้นระหว่างประเทศด้วยเช่นเดียวกัน ดังเราจะเห็นได้จากการโจมตีด้วยคำพูดเสียดสี ระหว่างประเทสเสรีและประเทศคอมมิวนิสต์ เมื่อข้อพิพาททวีความรุนแรงมากขึ้นก็ถึงขั้นทำสงครามกัน ทำให้ประชาชนและชาวโลกได้รับความทุกข์ทรมานจากผลของสงคราม ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุของการมองกันในแง่ร้ายนั่นเอง ในทางตรงกันข้าม หากเราพยายามมองคนอื่นในแง่ดีเพราะเชื่อว่าความดีนั้นมีอยู่ในตัวของทุกคน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ในสภาพตกต่ำเช่นใด และพยายามนำความดีของเขาออกมาให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ยกย่องและสนับสนุนให้เขาทำดีมากยิ่งขึ้น ผลที่เราจะได้รับก็คือความเป็นมิตร ความรักใคร่ชอบพอจากคนอื่นๆ

นอกจากเราจะช่วยเพิ่มพูนความดีในตัวเราให้มากขึ้นแล้ว เรายังช่วยให้ความเลวต่างๆ ลดน้อยลงได้ด้วย ในทำนองเดียวกัน โลกของเราจะมีสันติสุขได้ ก็ด้วยการที่แต่ละประเทศมองกันในแง่ดี ให้ความนับถือยกย่องซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความร่วมมือช่วยเหลือ รักใคร่ปองดองกัน เลิกทะเลาะและทำสงครามกันดังเช่นที่แล้วๆ มา

ในเรื่องของศาสนาก็เช่นเดียวกัน เราควรจะพยายามมองให้เห็นความดีในทุกๆ ศาสนา เพราะเมื่อเราให้ความนับถือและให้ความสำคัญแก่ศาสนาของเขา เขาก็จะพยายามรักษาความสำคัญนั้นไว้ ตรงกันข้าม หากบุคคลใดคิดว่าศาสนาของตนเองดีกว่าศาสนาของคนอื่น และโจมตีไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างศัตรูให้แก่ศาสนาของตนเอง และในเวลาเดียวกันก็เป็นการทำลายศาสนาของตนเองด้วย พร้อมกันนั้น เขายังเป็นสาเหตุให้คนในศาสนาอื่นเลวลงด้วย

เนื่องจากมนุษย์เกิดความไม่พอใจกันขึ้นแล้ว สิ่งที่มักจะเกิดตามมาก็คือ การทะเลาะเบาะแว้งและการทำสงคราม จะเห็นได้จากสงครามระหว่างศาสนาต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะศาสนามีข้อบกพร่อง แต่เป็นเพราะบุคคลในศาสนานั้นดูถูกดูหมิ่นศาสนาอื่น หรือมองศาสนาอื่นในแง่ไม่ดี ดังนั้นถ้าเราต้องการความสามัคคีและสันติสุขในโลก เราต้องพยายามมองบุคคลอื่นในแง่ดีอยู่เสมอ

จักรวาล...มหาวิทยาลัยของมนุษย์

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้สามารถเป็นบทเรียนสอนเราได้เป็นอย่างดี ถ้ามนุษย์เรารู้จักมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ด้วยความสงบ เราก็จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง...

ท้องฟ้า
ท้องฟ้า เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ไม่มีขอบเขต จิตใจของเราก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกับท้องฟ้า อย่าเป็นคนใจแคบ ขยายจิตใจออกไปให้กว้างใหญ่อยู่ตลอดเวลา อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง ให้คิดถึงผู้อื่น คิดถึงส่วนรวม และจะสังเกตเห็นว่าท้องฟ้ามีสีฟ้า ถึงแม้บางครั้งอาจจะมีเมฆบ้าง บางครั้งอาจจะมีพายุบ้าง หรือมีฝนบ้าง แต่ในที่สุด ลมก็จะพัดพาเมฆไป และท้องฟ้าก็จะมีสีฟ้าดังเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน อาจจะมีสิ่งมัวหมองเข้ามา มีความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้น แต่ควรทำจิตใจให้สงบนิ่งเหมือนเดิม อย่าให้มันเปลี่ยนแปลงไป ให้จิตใจมั่นคงอยู่ตลอดเวลา

เมฆ เมฆจะกลายเป็นฝน... ฝนจะให้ชีวิตแก่ตนไม้ มนุษย์ และสัตว์
เมฆต้องสลายตัวมันเองทั้งหมดเพื่อที่จะกลายเป็นฝน...
เมฆต้องเสียสละตัวมันเองเพื่อให้ชีวิตแก่สิ่งมีชีวิตเบื้องล่าง..
นี่เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สอนให้เราเป็นเหมือนเมฆ นั่นก็คือ การยอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น

บทเรียนอีกบทหนึ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเมฆก็คือ เมฆเกิดจากการระเหยของน้ำในมหาสมุทร ดังนั้นแหล่งกำเนิดของเมฆคือ มหาสมุทร แต่เมื่อเมฆกลายเป็นฝนตกลงมาบนแผ่นดิน น้ำฝนจะไหลลงสู่ลำธารและแม่น้ำ... ไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีการพักผ่อน...ไหลไปจนกว่าจะพบกับแหล่งกำเนิดของเมฆอีกครั้ง นั่นคือ มหาสมุทร บางครั้งฝนตกบนพื้นดินแห้ง แม้มันไม่สามารถรวมตัวเป็นจำนวนมากได้ มันก็จะใช้วิธีอื่น คือการระเหยกลายเป็นไอ ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นก้อนเมฆแล้วก็ตกมาเป็นฝนใหม่อีกครั้งหนึ่ง มันไม่มีการหยุดพักผ่อนและไม่พอใจจนกว่าจะไหลรวมกันไปสู่มหาสมุทร...แหล่งกำเนิดของมัน

มนุษย์ก็เช่นกัน เรากำลังเดินทางเพื่อแสวงหาแหล่งกำเนิดของความสุขที่แท้จริง มนุษย์จะไม่พอใจจนกว่าเขาจะพบกับแหล่งกำเนิดของความสุขที่แท้จริง เขาจะแสวหาจนกว่าเขาจะพบว่า...แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาแสวงหานั้นมันอยู่ภายฝนตัวเขาเอง เมื่อเขาพบแล้ว นั่นหมายความว่าเขาได้ผ่านการเดินทางไกลมาจนครบวงจรแล้ว...จากตัวเองแล้ววกเข้ามาสู่ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง จากแหล่งกำเนิดแล้วกลับมาสู่แหล่งกำเนิดอีกครั้งหนึ่ง

น้ำในแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำจะพยายามไหลลงสู่ทะเลตลอดเวลา ถึงแม้บางครั้งจะต้องโค้งไปโค้งมา แต่ในที่สุดก็จะถึงทะเล มนุษย์เราก็ต้องพยายามเดินก้าวหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต จงอย่าท้อถอย และที่สำคัญ แม่น้ำนั้นมีอยู่มากมาย แต่ในที่สุดก็จะไหลลงสู่ทะเลเดียวกัน น้ำในแม่น้ำ ในที่สุดก็จะเป็นมหาสมุทร แยกกันไม่ออก ศาสนาในโลกมีหลายศาสนา แต่แนวทางของศาสนาทุกศาสนาก็จะนำเราไปสู่ความจริงเดียวกัน

ภูเขา ภูเขาที่เรารู้จัก…บางครั้งก็มีหิมะปกคลุม บางครั้งก็มีพายุกระหน่ำ บางครั้งมีทั้งฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือมีลมพัดอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่ภูเขาได้รับความปั่นป่วนรอบตัว แต่มันกลับนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านแต่ประการใด สงบเงียบตลอดเวลา

เช่นเดียวกัน ในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะประสบกับปัญหา ความยากลำบาก ความสำเร็จ ความล้มเหลว หรือเผชิญกับความวุ่นวายต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา จิตใจของเราจะต้องไม่สะทกสะท้านเช่นดังภูเขาที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย เราต้องฝึกให้จิตใจของเรามั่นคง มีแต่ความสงบนิ่งและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แล้วเราจะมีแต่ความสุข

ฤดูกาล
เมื่อมีฤดูร้อน เราก็จะรู้ว่าในไม่ช้า ฤดูฝนก็จะตามมาอย่างแน่นอน เมื่อเรามีความร้อนใจ มีความทุกข์ ก็จงอย่าท้อใจ มันไม่ใช่เป็นสิ่งถาวร ในไม่ช้าความเย็นในใจก็จะเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า ฤดูจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเราต้องรู้จักปล่อยวาง อย่ายึดความความ เพราะถึงเวลามันก็จะเปลี่ยน และเราก็จะมีความทุกข์ เราต้องทำจิตใจให้อยู่เหนือความทุกข์และความสุข เหมือนกับนกที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้า…อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

ต้นไม้
ต้นไม้...ให้บทเรียนมากมายแก่เรา เป็นตัวอย่างของการรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น การเสียสละ การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ต้นไม้ได้ให้ความร่มเย็นแก่ทุกคนที่นั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของมัน มันให้ความร่มเย็นแก่ทุกคน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม... ไม่ว่าเขาจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก... ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนเลว แม้กระทั่งคนที่ถือขวานมาพร้อมกับความตั้งใจที่จะโค่นต้นไม้ก็ตาม ถ้าเขาเหนื่อยเขาก็จะนั่งพักภายใต้ร่มเงาของมันก่อนที่จะเริ่มโค่นมัน ผู้ที่จะมาทำลายต้นไม้ยังได้รับความร่มเย็นจากต้นไม้เช่นกัน

ต้นไม้ยินดีรับใช้เรา แม้กระทั่งมนุษย์เอาไปเผา มันก็จะให้ความอบอุ่นในยามหนาว ต้นแก่นจันทร์ เมื่อเราเอาขวานไปตัดต้นมัน มันก็ยังให้กลิ่นหอมติดมากับขวานของผู้ที่ทำลายมันด้วย

ต้นไม้ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง มันให้สิทธิ์ทุกคนที่จะขอรับความร่มเย็นจากมันอย่างเท่าเทียมกัน เราควรเรียนรู้ที่จะให้ เรียนรู้ที่จะรัก และเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือคนอื่นอย่างเท่าเทียมกันหมด แม้กระทั่งศัตรูของเราเอง...เช่นเดียวกับต้นไม้

ดอกไม้
ดอกไม้มีสีสันสวยงาม มนุษย์เราเห็นเข้าก็ชื่นชมยินดี มีความสบายใจ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มองไปแล้วเกิดความสวยงามไปหมด มนุษยืเราก็ควรจะเป็นแบบดอกไม้ เราควรจะให้ความรักความเมตตาต่อทุกคน ทำให้ผู้อื่นมีความสบายใจ มีความสุข

แมลง
แม้กระทั่งแมลงตัวเล็กๆ เช่น ผึ้ง ก็ยังเป็นบทเรียนที่ดีแก่เรา ผึ้งจะเลือกเฉพาะดอกไม้ที่ดี เพื่อที่จะดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ไปเป็นน้ำผึ้ง มนุษย์เราก็ควรจะสามารถแยกแยะสิ่งที่ดี และสิ่งที่ไม่ดี เลือกแต่สิ่งที่ดีงามเท่านั้น อย่าไปแสวงหาความชั่ว บาปกรรมทั้งหลาย และถ้าสังกุดูจากผึ้งจะพบว่ามันไม่ได้เอาแต่ได้เพียงอย่างเดียว แต่มันช่วยนำเกสรจากดอกหนึ่งไปสู่อีกดอกหนึ่ง เพื่อช่วยแพร่พันธ์ต่อไป ในทำนองเดียวกัน เราจงอย่าเอาแต่ได้เพียงอย่างเดียว ต้องรู้จักตอบแทน รู้จักให้ รู้จักรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

จุดดำ

เรามองเห็นอะไรในรูปบ้าง? หลายคนให้คำตอบเหมือนๆ กันว่า มองเห็นจุดดำจุดหนึ่ง คำตอบนี้แทบจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเราสับสนและขาดความสุขที่แท้จริง ให้ลองดูรูปดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง รูปภาพที่แท้จริงเราสามารถมองเห็นก็คือ “รูปที่มีสีขาวเกือบทั้งหมดยกเว้นตรงกลางที่เป็นจุดดำเล็กๆ เพียงจุดเดียว”

ปัญหาของเราก็คือ เรามักจะมองเห็นแต่จุดดำในคนอื่น แทนที่จะมองเห็นสีขาวที่อยู่ล้อมรอบ พวกเรามักจะมองหาแต่ความผิดพลาดของคนอื่น หรือจุดบกพร่องของคนอื่นอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่เขาอาจจะมีข้อดีอยู่หลายประการ เวลาที่คนนินทากัน เขาก็มักจะสนุกสนานในการพูดเรื่องข่าวลืออื้อฉาวหรือข้อเสียของผู้อื่น เขาไม่เคยนินทากันในเรื่องความดีของคนอื่น หนังสือพิมพ์ก็มีแต่การพาดหัวด้วยเรื่องหายนะทุกข์ภัยต่างๆ อาชญากรรมหรือข่าวอื้อฉาว ดูเหมือนว่าในสังคมของเรามีข่าวเกี่ยวกับความดีน้อยเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมีสีขาวมากกว่าสีดำ เพียงแต่เราไม่ได้ไปมองมันเท่านั้นเอง

เราต้องรู้จักที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม นักจิตวิยาได้กล่าวไว้ว่า...
“เราจะกลายเป็นอย่างที่เรานึกคิด สิ่งที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้เป็นผลของความนึกคิดของเราในอดีต”
ดังนั้นถ้าเรามองสิ่งต่างๆ ในแง่ร้าย เราจะคิดแต่สิ่งที่เลวร้าย แล้วเราก็จะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายในที่สุด

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้สามารถเป็นบทเรียนสอนเราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราควรจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโลกนี้อย่างชาญฉลาด เพื่อที่เราจะได้ก้าวหน้าต่อไป ถ้าเรามองเห็นจุดดำที่ถูกล้อมรอบด้วยสีขาว เราจะไม่มองดูจุดดำในแง่ร้าย แต่เราจะพยายามเรียนรู้จากมัน เราจะไม่รีบร้อนในการตัดสินว่าสิ่งนั้นไม่ดีสิ่งนี้เลวร้าย เพราะถ้าทำเช่นนั้นแล้ว เราจะทำให้จิตใจของเราตกต่ำลง แทนที่เราจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากมัน และความจริงอีกอย่างเกี่ยวกับตัวเราก็คือ เมื่อเรามองเห็นความผิดของคนอื่น เท่ากับว่าเรามองเห็นภาพสะท้อนของตัวเราเองในคนอื่นด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อเราชี้นิ้วของเราประนามคนอื่น นิ้วอีก 3 นิ้วของเรา... นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย... จะชี้มาทางตัวของเราเอง เท่ากับว่าเราได้ประนามตัวเองเช่นกัน

ธรรมะ

ธรรมะ คือ สัจธรรมและความรักความเมตตาที่ปรากฎออกมาเป็นการกระทำ โลกของเรากำลังอยู่ในสภาพที่ตกต่ำลงไปมาก ซึ่งเราจะเห็นได้จากการสังเกตว่า ธรรมะอยู่ที่ไหน?

ถ้าธรรมะเป็นเพียงทฤษฎี เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในวัด ในโบสถ์ หรือในหนังสือตำรา นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าโลกของเราได้ตกต่ำลงไปมาก ธรรมะจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อธรรมะนั้นอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่ข้างนอก ทฤษฎีนั้นไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ได้เป็นการปฏบัติของมนุษย์ ดังนั้นธรรมะควรจะเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในโลกให้ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร หรือจะทำหน้าที่อะไร เราต้องปฏิบัติให้ดีที่สุด และการกระทำของเราควรจะมีความรักความเมตตาเป็นพลังอยู่เบื้องหลัง เราจะต้องพร้อมที่จะให้ พร้อมที่จะเสียสละ พร้อมที่จะรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น และจะต้องพร้อมอยู่ตลอดเวลา เราไม่ควรที่จะมีความนึกคิดว่า เราจะได้อะไรตอบแทน จงอย่าไปยึดมั่นในผลของการกระทำของเรา และเมื่อเป็นเช่นนั้นได้ชีวิตของเราจะไม่มีวันพบกับความผิดหวัง

เราจะผิดหวังได้อย่างไร ถ้าเรามิได้หวังสิ่งใดตอบแทนจากการกระทำของเรา นี่คือเคล็ดของการกระทำ...คือการปล่อยวาง

กระเป๋าเดินทาง

ในการเดินทาง ถ้าเรามีสัมภาระเป็นกระเป๋าเล็กๆ เพียงใบเดียว การเดินทางของเราก็จะคล่องตัว เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย แต่ถ้าเรามีกระเป๋าหนักๆ หลายใบ ขนสัมภาระมากมายก่ายกอง การเดินทางก็จะประสบความลำบาก

เช่นเดียวกัน มนุษย์เรากำลังเดินทางไปในชีวิตของเรา ไปตามเป้าหมายของชีวิตเรา ถ้าเราพยายามกอบโกย มีทรัพย์สิน ทรัพย์สมบัติมากมาย เราก็มีห่วง เราต้องคอยกังวล กลุ้มอกกลุ้มใจ ปัญหาอุปสรรคก็จะมีมากมาย เราจะไม่มีความสุขอย่างแท้จริง แต่ถ้าเรารู้จักประหยัด รู้จักพอในสิ่งที่เรามีอยู่ และรู้จักปล่อยวาง ไม่ต้องมีสิ่งที่เราจะยึดติดตัวไปมากมาย เราก็จะมีชีวิตที่เรียบง่าย สะดวกสบาย ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร เราก็จะมีความสุขมากขึ้น

ชาวบ้านจับลิง

ในอดีต ชาวบ้านมีวิธีการจับลิง โดยการเอาขนมที่ลิงชอบ…ใส่เข้าไปในหม้อซึ่งมีปากแคบๆ ล่อให้ลิงเข้ามาหา และลิงก็จะเอามือล้วงเข้าไปในหม้อ เพื่อที่จะดึงเอาขนมนั้นออกมาก แต่เนื่องจากปากหม้อนั้นแคบมาก ลิงจึงไม่สามารถดึงขนมออกจากหม้อได้ เมื่อถึงเวลานั้นชาวบ้านวิ่งไล่จับลิงทันที ด้วยความตะกละของลิง มันไม่ยอมปล่อยขนมเหล่านั้น จึงต้องวิ่งหนีในสภาพที่ต้องแบกหม้อหนักๆ ไปด้วยจนอ่อนแรง ในที่สุด...ชาวบ้านก็สามารถจับตัวลิงนั้นได้อย่างง่ายดาย

มนุษย์เราก็เหมือนกับลิง มนุษย์ยึดมั่นในวัตถุสิ่งของต่างๆ ในโลกใบนี้ มนุษย์เรายึดมั่นในงานที่เราทำ ยึดมั่นในผลของการกระทำของเรา ผลที่สุดก็คือมนุษย์เราถูกยึดให้ตกต่ำลงไป มีแต่ความสับสนวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์

เมื่อเราไปทำงาน เราพบกับปัญหาต่างๆ นานา เมื่อเรากลับบ้านในตอนเย็น แทนที่เราจะทิ้งปัญหาไว้ที่ทำงาน เรากลับเอาปัญหากลับมาบ้านด้วย เราก็ไม่สามารถพักผ่อนที่บ้านได้ แถมเรายังจะหงุดหงิดกับคนในครอบครัวของเราด้วย เมื่อเราจะนอน เราก็ยังแบกปัญหาที่เราเผชิญมาตลอดทั้งวันไว้ในหัวของเรา เราก็นอนหลับยาก เมื่อเราตื่นนอนตอนเช้า เราก็เลยรู้สึกอ่อนเพลียและไม่สดชื่น เพราะเรานอนไม่เต็มที่ หรือไม่ก็อาจจะฝันร้าย แล้วเราก็แบกปัญหากลับไปที่ทำงานของเราอีกครั้ง เราต้องอย่าทำตัวเหมือนกับลิง สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ปล่อยวาง แล้วเราจะมีแต่ความอิสระ...อิสระจากความทุกข์...อิสระจากความสับสนวุ่นวายในชีวิต

จงปล่อยวางจากปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ขอให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ แล้วปล่อยวางเสีย เมื่อเราเลิกงานกลับไปที่บ้าน จงทิ้งทุกอย่างไว้ที่ทำงาน แล้วเราจะสามารถผ่อนคลายและยิ้มได้ที่บ้าน เมื่อเราจะนอน จงปล่อยวางทุกอย่าง แล้วนอนหลับอย่างเป็นสุข เราจะตื่นขึ้นรับวันใหม่ด้วยความสดชื่นและกระปี้กระเปร่า นี่คือเคล็ดลับของความสงบสุข...การปล่อยวาง

รวยหรือจน

มีขอทานผู้หนึ่งเดินขอทานตั้งแต่เช้าไปตามถนน วันหนึ่งเขาโชคไม่ดี ไม่มีใครให้เงินเขาเลย เขาหิวมากจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปขอทานที่บ้านเศรษฐีท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพราะเขาได้ข่าวมาว่าเศรษฐีท่านนี้เป็นคนใจดี และไม่เคยปฏิเสธที่จะช่วยเหลือใคร ขอทานผู้นี้จึงตั้งใจจะไปขอเงินสัก 10 บาท จากท่านเศรษฐี พอเดินมาถึงคฤหาสน์ของท่านเศรษฐีและเคาะประตู คนรับใช้ก็ออกมาเปิดประตู และบอกขอทานว่าท่านเศรษฐีกำลังสวดมนต์อยุ่ในห้องพระ แต่ก็ได้เชิญขอทานให้ไปรอพบท่านเศรษฐีที่หน้าห้องพระนั้น...

“เธอรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวท่านเศรษฐีสวดมนต์เสร็จ เธอก็บอกกับท่านแล้วกันว่าเธอต้องการอะไร”

ในขณะที่ขอทานกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องพระ เขาก็ได้ยินเสียงสวดภาวนาของท่านเศรษฐีว่า...
“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ข้าฯ มีอำนาจวาสนา ขอให้ข้าฯ ได้มีเงินเพิ่มอีกร้อยล้าน ขอให้มีที่ดินและทรัพย์สมบัติมากขึ้นๆ...”

เมื่อขอทานได้ยินเช่นนั้นจึงตัดสินใจเดินออกจากบ้านไป ท่านเศรษฐีสวดมนต์เสร็จออกมาจากห้องพระพอดี และเห็นว่าขอทานกำลังเดินออกจากบ้านไป เศรษฐีจึงตะโกนถามขอทานว่า...
“ท่านจะไปไหนล่ะ เมื่อท่านมาหาข้าฯ ก็คงจะต้องการอะไรสักอย่าง บอกข้าฯ มาเถอะว่าท่านต้องการอะไร”
ขอทานจึงหันมาแล้วพูดว่า...
“ผมมาที่นี่ก็ตั้งใจจะมาขอเงินจากท่านเศรษฐีเพียง 10 บาท แต่ผมมาแล้วกลับไม่เจอท่านเศรษฐี ตรงกันข้าม ผมกลับเจอขอทานที่ยิ่งใหญ่กว่าผมเสียอีก เพราะท่านกำลังขอทรัพย์สินเงินทองเป็นล้านๆ... ผมไม่เอาเงินจากขอทานด้วยกันหรอกครับ”
เมื่อพูดเสร็จ ขอทานก็เดินออกจากบ้านไป
ความร่ำรวยไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของเรา คนเราถึงจะมีเงินเป็นล้าน แต่ถ้ายังไม่รู้จักพอ ก็ยังคงจนอยู่ร่ำไป แต่ถ้าสมมติว่าเรามีเงิน 100 บาท และมีความพอใจกับสิ่งนั้น เราก็เป็นผู้ร่ำรวยและมีความสุข

ความจนหรือความรวยอยู่ที่ความพอหรือความไม่พอต่างหาก...

ฉันต้องการความสุข

มนุษย์เราทุกคนต้องการความสุขกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เรามักจะพูดกันอยู่เสมอว่า “ฉันต้องการความสุข” แต่เราจะหาความสุขกันได้อย่างไร? ทำอย่างไรเราจึงจะมีแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว? คำตอบก็อยู่ที่คำพูดของเรานั่นเอง ลองมาพิจารณาคำพูดของเราอีกครั้งหนึ่ง “ฉันต้องการความสุข” เราอยากจะให้เหลือแต่คำว่า “ความสุข” อย่างเดียว เราจะต้องทำอย่างไร? ง่ายนิดเดียว...ต้องตัดออกไป 2 คำ

“ฉัน” คือตัวกูของกู (ego) คือการยึดมั่นถือตน เมื่อมีคนมาวิพากษ์วิจารณ์เรา เสียงเข้ามาทางหูของเราและการกระทบกับตัวกูของกู (ego) ของเรา เราก็เคือง เราก็โกรธ แต่เมื่อเราขจัดตัว “ฉัน” ออกไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ก็ไม่ไปกระทบกับอะไร เราก็จะมีแต่ความสงบสุข ตัว “ฉัน” มักจะชอบเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ฉันดีกว่า รวยกว่า สวยกว่า ฯลฯ บางครั้ง “ฉัน” ก็ชอบเปรียบเทียบในแง่ลบ เช่น ฉันไม่รวย ฉันไม่มีความสามารถเท่าเขา ไม่มีความรู้เท่าเขา ฯลฯ เพราะฉะนั้น ฉันก็เลยอิจฉา โกรธ หรือหงุดหงิด ดังนั้น “ฉัน” จึงเป็นตัวทำลายความสงบสุข เราจำเป็นต้องขจัด “ฉัน” ออกไปเพื่อให้ได้ความสงบสุขกลับคืนมา

“ต้องการ” คือ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ เพราะจิตใจคือกองกิเลศ จิตใจมันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ มันจะไม่ยอมหยุดนิ่งเพราะมันมีความต้องการ เราจะไม่มีความสงบสุขได้หากเราไม่ทำให้ใจของเราหยุดนิ่ง ถ้าเราสามาถทำให้ใจของเราสงบ เราก็จะมีความสุข ดังนั้นเราต้องกำจัด “ความต้องการ” หรือกิเลส

คนเราเมื่อไม่ได้หวังอะไรก็จะไม่มีความผิดหวังเกิดขึ้น ซึ่งก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต แต่แน่นอนคนเราจะตัดความต้องการออกไปหมดทันทีย่อมไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องกำหนดเพดานแห่งความต้องการ คืออย่าให้ความต้องการของเราทะลุเพดานออกไป รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อเรามีความพอใจ เราก็จะมีความสุข

เมื่อเราตัดออกไปได้ทั้งสองคำ “ฉัน” และ “ต้องการ” เราก็จะมีแต่คำว่า “ความสุข” เพียงอย่างเดียว

ค่าเงินที่ลดลง

ในปัจจุบันมนุษย์ได้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปอย่างมาก เราสามารถเดินทางออกไปนอกโลกได้ สามารถส่งยานอวกาศเดินทางออกไปนอกระบบสุริยะจักรวาลได้ และสามารถใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาโลกของเรา โดยสร้างสิ่งที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับมนุษย์ แต่มนุษย์กลับมาความสุขน้อยลง และมีความสับสนวุ่นวายมากขึ้น ถ้าดูจากสถิติของคนที่ต้องการเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับจิตใจ จะเห็นว่าน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เหตุผลที่มนุษย์มีความสับสนวุ่นวายอยู่มาก ก็เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ที่จะช่วยให้ตนเองมีความสุข

มนุษย์มักจะบ่นอยู่เสมอว่า “ค่าของเงินมันลดลงอยู่เรื่อยๆ” แต่เมื่อพิจารณากันจริงๆ แล้ว เราจะเห็นว่า มนุษย์ต่างหากที่ลดค่าของตัวเองลง ไม่ใช่ค่าของเงินมันลดลง ในการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาอุตสาหกรรม ทำให้เราสามารถผลิตสินค้าต่างๆ ได้มากขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องมีการขายมากขึ้น ดังนั้นธุรกิจต่างๆ จึงต้องมีการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้ประชาชนมาซื้อสินค้ากันมากขึ้น สมัยนี้ทุกบ้านต้องมีวิทยุ โทรทัศน์ ตู้เย็น รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ และของให้อื่นๆ อีกมากมาย ตามหลักเศรษฐกิจ เมื่อความต้องการมากขึ้น ราคาสิ้นค้าก็ต้องสูงขึ้น ค่าของเงินก็ลดลง ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ค่าของเงินลดลงเพราะมนุษย์มีความต้องการมากขึ้น แต่ถ้ามนุษย์รู้จักกำหนดขอบเขตของความต้องการ และลดความต้องการลงไปบ้าง ก็จะทำให้ความต้องการในตลาดน้อยลง เมื่อสินค้าขายไม่ค่อยได้ ราคาก็ต้องลดลง ค่าของเงินก็เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงเป็นความผิดของมนุษย์ที่ลดค่าของตนเอง โดยการสร้างกิเลสให้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นความผิดของเงิน

โลกเราในปัจจุบันนี้ดูเหมือนกับว่ามีความสับสนวุ่นวายมากขึ้นเป็นลำดับ มีสงครามเกิดขึ้นข้างบ้านเราและอีกหลายแหงในโลก มีโจรผู้ร้ายมากขึ้น ความทุกข์ดูเหมือนจะมีมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ มนุษย์จะหาความสุขได้อย่างไร มนุษย์เกิดความสับสน ไม่รู้ว่าจะหันไปพึ่งใคร หรือจะยึดอะไรที่จะช่วยให้เขามีความสุข มนุษย์จึงหลงทางอยู่ในโลกและไปยึดสิ่งที่ไม่มีคุณค่าต่อความเป็นมนุษย์ เราไปยึดวัตถุสิ่งของต่างๆ โดยคิดว่าสิ่งนั้นๆ จะนำความสุขมาให้ แต่มนุษย์ก็ยังไม่มีความพอใจ เราหลงอยู่ในกิเลส จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องหันกลับมาศึกษาในเรื่อง “คุณค่าของความเป็นมนุษย์” อันได้แก่ ความสงบสุข ความรัก ความประพฤติชอบ ความจริง และการไม่เบียดเบียนคนอื่น เพื่อที่จะสร้างความสุขให้กับตัวของเราเอง และให้กับผู้อื่นด้วยพร้อมๆ กัน

ชายหนุ่มเลิกบุหรี่

ครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งติดบุหรี่เป็นอย่างมาก สุขภาพเสื่อมโทรม เขารู้สึกไม่พอใจกับตัวเอง วันหนึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งมาเทศน์ในหมู่บ้าน ชายคนนี้ยืนอยู่หลักสุดและนั่งฟังพระเทศน์ เขาตัดสินใจไปขอคำแนะนำการเลิกบุหรี่จากพระ เขาเดินไปหาพระและเล่าปัญหาของตัวเองให้ท่านฟัง พระถามเขาว่าเขาสูบบุหรี่วันละเท่าไหร่ จากนั้นพระท่านก็หยิบชอล์กแท่งหนึ่งขึ้นมา และถามว่าขนาดของบุหรี่ที่สูบในแต่ละวัน เท่ากับชอล์กแท่งนี้ไหม ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

พระจึงบอกกับชายหนุ่มว่า...
“เธอไม่ต้องหยุดสูบบุหรี่หรอก แต่ทุกๆ วันเธอจะต้องวัดขนาดของบุหรี่ที่จะสูบในวันนั้น ให้เท่ากับขนาดของชอล์ก เพียงแต่มีข้อแม้ว่า ทุกๆ เช้าขอให้เธอเขียนคำว่า พุทธะ บนกำแพง แล้วค่อยสูบได้”

ชายหนุ่มดีใจมาก เขากลับบ้านและปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นๆ ทุกๆ เช้าเขาจะตื่นมาแล้วเขียนคำว่า “พุทธะ” บนฝาบ้าน แล้ววัดขนาดของบุหรี่ที่เขาจะสูบในวันนั้นๆ
จนกระทั่งวัหนึ่ง เขามองเห็นชัดเจนว่า ชอล์กนั้นมีขนาดเล็กมาจนเมื่อเขาเขียนคำว่า “พุทธะ” จบ ชอล์กก็หมดพอดี เขาจึงหยุดสูบบุหรี่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
จิตใจคือกองกิเลศ มันมักจะคิดโน่นคิดนี่ จิตใจมันคุยกับตัวมันเองภายในตลอดเวลา วางแผนทำโน่นทำนี่ มีปัญหามากมายเข้ามาในจิตใจ กิเลสเป็นตัวทำให้จิตใจของเราคิดไปเรื่อยเปื่อย ถ้าเราสามารถลดความต้องการลงได้ก็จะทำให้จิตใจของเราสงบขึ้น การที่เราจะลดความต้องการของเราลงได้ เราจะต้องมีความมุ่งมั่นเสียก่อน และเราจะต้องมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา และในทุ่ดเราจะต้องใช้สตินี้ลดความต้องการของเราลงในแต่ละวันๆ

จิตใจก็เหมือนกับทะเลสาบ ถ้าผิวน้ำเต็มไปด้วยระรอกคลื่น เราจะไม่สามารถมองเห็นว่าในทะเลสาบมีอะไร ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาสะท้อนของทัศนียภาพอันสวยงามรอบทะเลสาบ แต่ถ้าทะเลสาบสงบ พื้นผิวน้ำหยุดนิ่ง เราสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในน้ำ รวมทั้งเงาสะท้อนของทิวทัศน์รอบทะเลสาบได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าจิตใจของเราสงบนิ่ง เราจะสามารถมองลึกเขาไปถึงจิตใจของเรา และยกระดับจิตใจของเราไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้

เปลี่ยนตัวเราเอง

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เศรษฐีผู้นี้เป็นคนเจ้าอารมณ์ และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งเขาประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาเสนอแนะวิธีการรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำให้เขาดีขึ้นได้

อยู่มาวันหนึ่ง มีนักบุญท่านหนึ่งเดินทางมาเยี่ยมเศรษฐีผู้นี้ เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้นักบุญทราบ นักบุญจึงบอกกับเศรษฐีว่า...
“โธ่เอ๊ย วิธีการรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียวเอง นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลา แล้วอาการปวดของเจ้าก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง”

วันรุ่งขึ้น เศรษฐีผู้นี้จึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด และด้วยความที่เป็นคนรวยมาก เขาจึงซื้อเสื้อผ้าให้คนในหมู่บ้านทุกคนได้ใส่ด้วย ในตอนนี้ไม่ว่าเศรษฐีผู้นี้จะมองไปทางไหนก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลา ตามคำแนะนำของนักบุญ อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น สองสามเดือนถัดมา ท่านนักบุญก็ได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งตะโกนร้องว่า...
“หยุดก่อน! ท่านเข้ามาในหมู่บ้านในชุดนี้ไม่ได้ เด๋วผมจะต้องทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน” นักบุญตกใจและรีบวิ่งหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด”
นักบุญได้พบกับเศรษฐีและก็ได้ตำหนิว่า...
“ทำไมเจ้าถึงต้องเสียเงินเสียทองและเสียเวลาไปมากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้าเล่า เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย
เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้นเอง เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว”

หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของตัวเราเองก่อน แล้วเราก็จะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

อย่าเชื่ออย่างงมงาย

อาจารย์ชื่อดังของสำนักแห่งหนึ่ง เป็นคนที่คิดว่าตัวเองเก่งมาก มีความรู้สูง และต้องการที่จะมีอำนาจ ต้องการให้คนอื่นมาแสดงความเคารพนับถือตน ท่านมีลูกศิษย์ที่มาศึกษาอยู่กับท่านประมาณ 200 คน อาจารย์ผู้นี้ได้คอยเลี้ยงดูทุกคนเป็นอย่างดี สอนให้ลูกศิษย์มีความเชื่อถือและเชื่อมั่นในคำพูดของท่าน โดยที่ไม่ให้ลูกศิษย์มีโอกาสซักถาม ลูกศิษย์พวกนี้ก็เป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิดของตัวเอง ทุกคนจึงหลงเชื่ออาจารย์

วันหนึ่ง ลูกศิษย์ผู้หนึ่งได้อ้อนวอนกับอาจารย์ว่า...
?ท่านอาจารย์ครับ ช่วยกรุณาสอนวิธีที่จะทำให้พวกเราได้ขึ้นสวรรค์หน่อยเถอะครับ?

อาจารย์ก็ตอบว่า...
?อ๋อ ได้ซิ แต่พวกเธอทั้งหลายจะต้องทำตามฉันทุกอย่างนะ ฉันพูดอะไรก็ต้องทำตาม?

ทุกคนรีบตอบตกลงทันที ต่างคนต่างก็ดีอกดีใจที่จะได้ขึ้นสวรรค์กัน อาจารย์พาทุกคนไปที่ศาลา เสร็จแล้วก็นั่งลง ทุกคนก็นั่งลงตามอาจารย์ พออาจารย์จะเริ่มพูดก็เกิดรู้สึกคันจมูก และจามออกมา ทุกคนในที่นั้นก็ทำตาม อาจารย์ก็ตะโกนว่า ?เอ๊ะ อะไรกัน? ทุกคนก็ตะโกนกลับว่า ?เอ๊ะ อะไรกัน? อาจารย์ชักจะโมโหเลยชี้หน้าลูกศิษย์ทั้งหลาย แล้วตะโกนว่า ?เงียบ? ทุกคนก็ชี้หน้าอาจารย์ แล้วก็ตะโกนว่า ?เงียบ? เช่นกัน อาจารย์ทนไม่ไหว เลยยกมือตบหน้าลูกศิษย์คนหนึ่ง ทันทีทันใดนั้น อาจารย์ก็โดนตบหน้าไม่รู้กี่ร้อยครั้ง อาจารย์ทนไม่ไหว วิ่งหนีออกไปข้างนอก ลูกศิษย์ทั้งสองร้อยคนก็วิ่งตามอาจารย์ออกไปเช่นกัน พออาจารย์มาถึงบ่อน้ำก็กระโดดลงไปในบ่อ เพื่อที่จะหนีจากลูกศิษย์พวกนี้ แต่ลูกศิษย์โง่ๆ เหล่านั้น กระโดดตามลงไปอัดในบ่อน้ำ โดยคิดว่าจะตามอาจารย์ขึ้นสวรรค์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าได้เชื่อคำสั่งสอนของใครอย่างงมงาย ถ้าเราเชื่ออย่างงมงาย และปฏิบัติตามที่เขาสอนเราทุกอย่าง เราอาจจะตายไปโดยเปล่าประโยชน์ก็ได้ เพราะฉะนั้น ให้เรานึกคิดและตรึกตรองคำสอน ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตามให้ดีเสียก่อนที่จะเอาไปทดลองดู อย่าเชื่อทันที ถ้ามันเกิดประโยชน์ก็เก็บไว้ ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ก็ให้รีบทิ้งมันไปเสีย บทเรียนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน อ่านแล้วให้เอาไปคิดดูให้ดี กลับมาอ่านใหม่แล้วเอาไปคิดใหม่ ลองเอาไปทดสอบดูให้ดีๆ เสียก่อน อย่าได้เชื่ออย่างง่ายๆ

กบสองตัว

ในชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม เราจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีความตั้งใจและความเพียรพยายาม แม้จะไม่ได้รับความสำเร็จในตอนแรกๆ จงอย่าท้อแท้หรือยอมแพ้ต่อสิ่งใดง่ายๆ...แต่จงอดทดสู้ต่อไป

ในเย็นวันหนึ่ง มีกบสองตัว ตัวหนึ่งอ้วน อีกตัวหนึ่งผอม ทั้งสองกำลังกระโดดโลดเต้นกันอย่างสนุกสนาน แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายพลัดตกลงไปในถังนม ทั้งสองได้แต่แหวกว่ายอยู่ไปมา แต่ก็ไม่สามารถกระโดดออกมาไดจนกระทั่งเริ่มเหนื่อยอ่อน กบตัวอ้วนบอกกับตัวผอมว่า... ข้าว่ายต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ ข้าขอยอมแพ้ เพราะข้าเหนื่อยเต็มทนแล้ว ขอยอมตายอยู่ในถังนมนี้แหละ?

แต่กบตัวผอมพูดว่า...
เพื่อน...จงอย่ายอมแพ้ เราพยายามกันต่อไปเถอะ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมมีหนทางและความหวังอยู่เสมอนะ

กบตัวอ้วนแหวกว่ายไปมาได้พักเดียว ด้วยความอ่อนแอท้อแท้ใจ จังนมนมในถังตายไป ส่วนกบตัวผอมไม่สิ้นความพยายาม แม้เกือบจะหมดแรงแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ แหวกว่ายไปมาอยู่ในถังนมนั้น จนกระทั่งรู้สึกว่ามีอะไรแข็งๆ อยู่ที่ขาหลัง นั่งเป็นเพราะในขณะที่ว่ายอยู่ในถังนมนั้น กบตัวผอมสามารถกวนนมจนกลายเป็นเนยได้

เมื่อมีเนยมาโดนที่ขาหลัง กบตัวผอมได้ใช้กำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดดันเนย และกระโดดออกมาจากถังนมได้ในที่สุด

กบตัวผอมรอดชีวิตมาได้ เพราะความพยายาม
ส่วนกับตัวอ้วนตั้งตาย เพราะขาดความพยายามและความอดทนบทเรียนชีวิตแต่ละบทในหนังสือเล่มนี้ ถูกกลั่นกรองและคัดสรรมาเป็นอย่างดีจากประสบการณ์ จากการศึกษา และการฝึกปฏิบัติมาเป็นเวลานาน การอ่านบทเรียนชีวิตแต่ละบทนั้น เปรียบเสมือนการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ซึ่งเราจะต้องรับประทานอาหารทีละมื้อ อาหารจะต้องถูกย่อยและถูกนำไปใช้ประโยชน์ภายในร่างกายเสียก่อน แล้วจึงค่อยรับประทานอาหารในมื้อต่อไป แต่ถ้าพยายามรับประทานอาหารหลายๆ มื้อติดต่อกัน อาหารนั้นก็จะไม่ได้รับการย่อย ซึ่งจะเป็นการสูญเสียอาหาร โดยไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ดังนั้นให้ใช้เวลาว่าของคุณ ไม่ว่าก่อนนอน ตอนเช้า หรือเวลาใดก็ตาม นั่งพักให้สบาย ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย แล้วอ่านหนังสือวันละหนึ่งบท เมื่ออ่านแล้วก็ให้ทบทวนทำความเข้าใจบทเรียนให้มากขึ้น และพิจารณาตรึกตรองให้ถ่องแท้ว่า เราจะนำคำสอนในบทเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร อย่าอ่านหลายๆ บทในวันเดียวกัน เพราะจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์ตามจุดมุ่งหมายของบทเรียนนี้อย่างแท้จริง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

บทนำ

ในยุคที่โลกกำลังเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง มนุษย์เรากลับมีปัญหามากขึ้น มีความสับสนวุ่นวาย มีความเครียด หนังสือเล่มนี้มีจุดมุ่งหมายให้เรารู้จักลดความทุกข์ และสามารถอยู่ในโลกด้วยความสงบสุข และช่วยให้เราเล็งเห็นถึงจุดหมายในชีวิต ให้เรารู้จักตัวเอง ให้เรารู้ว่า...เรามีอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร เราจะได้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างถูกต้อง และให้เราเข้าใจว่า...เราจะเดินไปในทิศทางไหนต่อไป

บทเรียนชีวิตแต่ละบทในหนังสือเล่มนี้ ถูกกลั่นกรองและคัดสรรมาเป็นอย่างดีจากประสบการณ์ จากการศึกษา และการฝึกปฏิบัติมาเป็นเวลานาน การอ่านบทเรียนชีวิตแต่ละบทนั้น เปรียบเสมือนการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ซึ่งเราจะต้องรับประทานอาหารทีละมื้อ อาหารจะต้องถูกย่อยและถูกนำไปใช้ประโยชน์ภายในร่างกายเสียก่อน แล้วจึงค่อยรับประทานอาหารในมื้อต่อไป แต่ถ้าพยายามรับประทานอาหารหลายๆ มื้อติดต่อกัน อาหารนั้นก็จะไม่ได้รับการย่อย ซึ่งจะเป็นการสูญเสียอาหาร โดยไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ดังนั้นให้ใช้เวลาว่าของคุณ ไม่ว่าก่อนนอน ตอนเช้า หรือเวลาใดก็ตาม นั่งพักให้สบาย ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย แล้วอ่านหนังสือวันละหนึ่งบท เมื่ออ่านแล้วก็ให้ทบทวนทำความเข้าใจบทเรียนให้มากขึ้น และพิจารณาตรึกตรองให้ถ่องแท้ว่า เราจะนำคำสอนในบทเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร อย่าอ่านหลายๆ บทในวันเดียวกัน เพราะจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์ตามจุดมุ่งหมายของบทเรียนนี้อย่างแท้จริง

+++++++++++++++++++
ผู้แต่ง : ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา