วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตระหนักว่าคุณเองเป็นเจ้าของเวลา

ความรักมีอิทธิพลอย่างมาต่อพวกเรา คำว่าความรักในหนังสือเล่มนี้ หมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ที่ออกมาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน

เราทุกคนสามารถส่งความรักและรับความรักได้ ความรักที่บริสุทธิ์ที่เราได้รับไม่ได้ส่งผ่านทางประสาทสัมผัสทางกาย แต่เป็นคุณสมบัติพิเศษที่ทุกคนมี

เมื่อเราอยู่กับนักบุญ เรารู้สึกสงบมาก นั่นเป็นเพราะเราอยู่ในบรรยากาศของความบริสุทธิ์และความรัก จึงทำให้เรารู้สึกสงบ ในทางตรงกันข้าม หากเราอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีแต่ความสับสนและเกรี้ยวกราด เราจะไม่มีความสงบสุขในจิตใจของเราเลย

เมื่อเด็กหกล้มและได้รับบาดเจ็บ แม่จะวิ่งเข้ามาและโอบกอดลูกไว้ด้วยความรัก เด็กจะหยุดร้องไห้ทันทีและหายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง นั่นเป็นเพราะความรักของแม่ที่มีต่อลูก

ความรักไม่ได้มีผลกระทบต่อมนุษย์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในทางบวกต่อพืชและสัตว์อีกด้วย ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีนิสิตกลุ่มหนึ่งทำการทดลองเกี่ยวกับเรื่องความรักความเมตตา ซึ่งต้องการจะทราบว่า ความรักความเมตตามีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้หรือไม่

โดยการทำการทดลองแบบนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอาจารย์ผู้หนึ่งในจุฬาฯ ควบคุมการทดลองดังกล่าว นิสิตกลุ่มนั้นได้ทดลอง โดยการปลูกต้นดาวกระจาย 2 แปลง ในแปลงหนึ่ง นิสิตได้แผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้ ส่วนอีกแปลงหนึ่งปล่อยไว้ตามลำพังเพื่อเป็นการเปรียบเทียบในการทดลอง ซึ่งต้นไม้ทั้ง 2 แปลงนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกันหมด คือการให้น้ำ ให้ปุ๋ย และได้รับอากาศเท่ากันทั้ง 2 แปลง

หลังจากนั้นไม่นาน นิสิตได้วัดความสูงของต้นไม้แต่ละต้น และสังเกตความแตกต่างระหว่างต้นไม้ทั้ง 2 แปลง ปรากฏว่าต้นไม้ในแปลงที่ได้รับการแผ่เมตตานั้น สูงกว่าอีกแปลงหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด และนอกจากนั้นแล้ว ต้นที่ได้รับการแผ่เมตตามีดอกสวยงามทุกต้น ในขณะที่อีกแปลงหนึ่งไม่มีดอกเลยสักต้นเดียว

นิสิตเหล่านั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความรักความเมตตามีผลต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างมาก ความรักเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ เมื่อครั้งฝูงช้างป่าวิ่งตรงไปยังที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ พระองค์ได้แผ่ความรักความเมตตาไปยังช้างเหล่านั้น พวกช้างหยุดวิ่งและไม่ทำร้ายใคร พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

พระเยซูคริสต์ทรงรักษาอาการป่วยของคนหลายคน ด้วยพลังแห่งความรักความเมตตา พระองค์ทรงกล่าวว่า...
ศาสดาและเหล่านักบุญทั้งหลาย ต่างก็มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันในคำสอนของแต่ละท่าน นั่นคือเรื่องความรักความเมตตา

มีอาจารย์ท่าหนึ่ง ชื่อ อาจารย์โยคะนันท์ ขณะที่ท่านกำลังเดินอยู่บนถนนสายหนึ่ง ในนครนิวยอร์ค ได้มีโจรผู้ร้ายสามคน ชักปืนเข้ามาจี้ที่อาจารย์เพื่อชิงทรัพย์ อาจารย์โยคะนันท์จิตใจสงบ ยิ้ม ไม่วิตกกังวลอะไร และได้ยื่นกระเป๋าเงินของท่านให้กับโจรผู้ร้ายเหล่านั้น และพร้อมกันนั้นท่านก็ได้แผ่เมตตาให้กับโจรผู้ร้ายทั้งสามคนด้วย ท่านพูดในใจว่า...
“ขอให้ท่านทั้งสามจงเต็มไปด้วยความสงบสุข”

เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้น โจรผู้ร้ายทั้งสามคนกลับคืนกระเป๋าเงินและลดปืนลง พร้อมกับพูดว่า...
“พวกเราขอโทษด้วย เราไม่สามารถเอาเงินของท่านได้แล้วล่ะ”

จากนั้นโจรทั้งสามคนก็หันหลังแล้ววิ่งหนีไป... นี่คือพลังแห่งความรักความเมตตา

ความรักความเมตตาเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเราสามารถส่งออกไปให้ผู้อื่นและผู้อื่นก็สามารถรับได้ ความรักความเมตตาเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เพราะสามารถให้ความสงบสุขแก่ผู้อื่นได้

ความรักความเมตตาเป็นสิ่งที่จะทำลายความโกรธ ความเกลียด และเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นเพื่อนของเราได้ เมื่อเรานำความรักความเมตตามาอยู่ในจิตใจของเรา ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความโมโห ก็จะหายไปจากคนๆ นั้น

โลกของเรากำลังเข้าขั้นวิกฤตการณ์ มนุษย์มีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวซึ่งกันและกัน คอยระแวงซึ่งกันและกัน และพยายามแข่งขันสร้างอาวุธที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อจะป้องกันตัวเอง มนุษย์เราพยายามที่จะปราบความชั่วร้ายโดยการทำสงคราม ซึ่งความชั่วร้ายนั้นก็ไม่หายไป หนำซ้ำ มนุษย์กลับพบสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น หลังจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง มนุษย์ก็ยิ่งมีความสับสนวุ่นวายมากขึ้น มนุษย์ก็ยังไม่พอกับความสงบสุขที่เขาต้องการ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่ามนุษย์ได้ลืมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่สามารถช่วยเขาได้ นั่นก็คือ ความรักความเมตตา

ความชั่วร้ายจะปราบด้วยสงครามไม่ได้ สงครามจะทำให้ความชั่วร้ายทวีความรุนแรงมากขึ้น และกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ความรักความเมตตาเท่านั้นที่จะช่วยตัดความกลัว ความเกลียด และความชั่วร้ายในโลกนี้ได้ โดยอาศัยความรักความเมตตา มนุษย์ก้จะสามารถเปลี่ยนโลกของเราเป็นสวรรค์... เป็นโลกซึ่งมีแต่ความสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น