วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การแผ่เมตตา

ถ้าเราจะแผ่เมตตาให้ได้ผลดีจริงๆ เราควรจะเข้าใจทฤษฎีเกี่ยวกับการแผ่เมตตาเสียก่อน ในวิชาเรดิโอนิก ซึ่งเป็นวิชาแขนงใหม่ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิชานี้ ทั้งที่ประเทศอังกฤษและประเทศฮอลแลนด์ ได้พิสูจน์ว่ามีพลังชนิดหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นพลังแม่เหล็กชนิดนหนึ่ง พุ่งออกไปจากร่างกายของมนุษย์ตามจุดต่างๆ จุดที่สำคัญคือ บริเวณหน้าผาก คอ หัวใจ บริเวณท้องเหนือสะดือเล็กน้อย และบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง นอกจากนี้พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองส่งพลังนี้ไปยังคนที่เจ็บป่าย ปรากฏว่าคนไข้รู้สึกสบายขึ้น และส่วนใหญ่จะช่วยรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างรวดเร็ว

วิธีการแผ่เมตตา
เริ่มต้นด้วยการนั่งในท่าสมาธิ หลังตรงและไม่เกร็งตัว ฝึกสมาธิสักครู่หนึ่งเพื่อจะให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน เพราะจิตที่ฟุ้งซ่านจะสามารถแผ่พลังงานของความเมตตาได้น้อย พอจิตใจสงบมีสมาธิบ้างแล้ว ให้เราพิจารณาสภาพของโลกเราในปัจจุบัน จะเห็นว่าโลกของเรามีความทุกข์ทรมานมากมาย เช่น มีสงครามเกิดขึ้นหลายแห่ง มีการฆาตกรรมระหว่างพี่น้องกันเอง มีการทะเลาะกัน ทำร้ายกัน มีคนเป็นจำนวนล้านๆ คน ซึ่งไม่มีอาหารเพียงพอ จิตใจของมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลส ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะช่วยเหลือตัวเองให้มีความทุกข์น้อยลง นอกจากนี้ยังมีภัยจากธรรมชาติที่รุนแรง ซึ่งทำลายชีวิตและทำลายบ้านเมืองจนพังพินาศ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดังนั้นพวกเราควรมีความรู้สึกสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นญาติพี่น้องของเรา แต่ความสงสารนี้ควรจะเปลี่ยนเป็นความเมตตา ไม่ใช่เป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดจากความเศร้าโศกเท่านั้น เมื่อมีความเมตตาเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้เริ่มต้นแผ่เมตตาได้ ภายในจิตใจของเราให้คิดอยู่เสมอว่า เราสามารถที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ได้จริงๆ อธิษฐานในใจหรือคิดในใจว่า เราจะแผ่ไปให้ใคร เพื่ออะไร เราจะอธิษฐานอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญขอให้พูดจากใจจริง และต้องการให้มันเป็นไปตามคำอธิษฐานของเราจริงๆ เช่น อธิษฐานว่า... “ขอให้พลังของความเมตตาได้แผ่ไปยังเพื่อนมนุษย์ทุกคน เพื่อช่วยให้ทุกคนมีความสุขยิ่งขึ้น” การแผ่เมตตาไม่จำเป็นจะต้องท่องจำคาถาอะไรเลย แต่ถ้าอยากจะท่องจำคำสวดมนต์ก็ไม่สามารถทำได้ แต่จงอย่าท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง ซึ่งจะไม่มีความหมายแต่ประการใด ขอให้ท่องให้มีความหมาย โดยมีจุดประสงค์ในใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นจริงๆ ถ้าจะแผ่เมตตาพร้อมกันหลายๆ คน ก็ให้มีคนนำอธิษฐานออกมาดังๆ แล้วทุกคนก็แผ่พลังของความเมตตาออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าลืมว่าพลังนี้ออกจากบริเวณหัวใจ และฝ่ามือทั้งสองข้างของเรา เพราะฉะนั้นหลังจากอธิษฐานแล้วก็ให้ใช้ความคิดของเราช่วย โดยการคิดว่ามีพลังออกไปจากบริเวณต่างๆ ดังกล่าว หรือพยายามคิดว่ามีแสงสีขาวพุ่งออกไปจากบริเวณหัวใจและฝ่ามือทั้งสองข้าง โดยให้แสงนี้พุ่งออกไปเป็นลำๆ พยายามคิดและมองให้เห็นแสงนี้ในลักษณะของแสงสว่างสีขาวบริสุทธิ์ และพุ่งออกไปให้มากที่สุด แต่ไม่ต้องเพ่งตามแสงออกไปไกลๆ เพราะแรงอธิษฐานของเราจะช่วยนำพลังนี้ไปถึงจุดที่เราต้องการจะแผ่เมตตาไปถึง ตอนระยะเวลาที่ปฏิบัติก็ควรจะหลับตา เพื่อไม่ให้สิ่งอื่นมารบกวนสมาธิของเรา ให้ปฏิบัติเช่นนี้ประมาณ 3 ถึง 5 นาที หรืออาจจะนานกว่านี้ก็ได้ ก่อนจบก็ให้ภาวนาว่า... “โลกา สมัสตา สุขิโน ภวันตุ” 3 ครั้ง

ในการแผ่เมตตา เราอาจจะเจาะจงแผ่ไปถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ เช่น ถ้าเรารู้จักใครที่กำลังไม่สบาย เราก็แผ่เมตตาไปให้คนนั้น แต่ขอให้จบด้วยการแผ่เมตตาถึงส่วนรวม และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิต ความเมตตาของเราจะต้องมีขอบเขต ไม่ใช่ว่าเราจะแผ่เฉพาะเพื่อนฝูง ส่วนพวกที่เราไม่ชอบเราจะไม่แผ่ให้ เราควรจะมีเมตตาถึงทุกคน แม้ว่าจะเป็นศัตรูหรือคนที่คิดจะทำร้ายเราก็ตาม จงอย่าละทิ้งผู้ใดออกไปจากความเมตตาของเรา และจะต้องไม่จำกัด ชาติ ศาสนา สีผิว หรือลัทธิต่างๆ ด้วย

เราควรจะแผ่เมตตาให้บ่อยที่สุด อย่างน้อยทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนก่อนนอน การฝึกสมาธิทุกครั้งควรจะจบด้วยการแผ่เมตตา อย่าพอใจในการแผ่เมตตาเพียงหนสองหนต่ออาทิตย์ ถ้าเราแผ่เมตตาเป็นเหมือนกับการฝึกสมาธิชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสงบและความสบายใจ แต่จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อเราได้ปฏิบัติทุกๆ วัน และเพื่อที่จะช่วยให้การแผ่เมตตามีผลมากที่สุด ชีวิตประจำวันของเราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง คือมีศีลธรรมและทำประโยชน์โดยการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุด เราควรจะทำจิตใจให้สงบและมีความเมตตาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเห็นใครไม่สบาย ก็แผ่เมตตาไปให้ทันที อย่าเดินผ่านมนุษย์หรือสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราไปเฉยๆ

ข้อควรระวัง
ข้อควรระวังในการแผ่เมตตา จงอย่าใช้การแผ่เมตตาเพื่อบังคับหรือเปลี่ยนนิสัยจิตใจของผู้อื่น ถึงแม้คนๆ นั้นจะเลวเพียงใด และเราหวังดีที่จะช่วยให้เขาเป็นคนดีขึ้นก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะปฏิบัติ เพราะถ้าเราใช้อำนาจจิตของเราไปบังคับเขา เขาก็จะทำตามเหมือนหุ่นยนต์ เราควรจะเข้าใจว่าที่เขาทำสิ่งไม่ดีไปนั้น ก็เพราะเขายังต้องการเรียนรู้และต้องผ่านประสบการณ์เช่นนั้นก่อน เพื่อจะได้ก้าวหน้าต่อไป แต่ถ้าเราไปบังคับเขาแล้ว เขาจะขาดประสบการณ์อันนั้นไป และขาดการตัดสินใจในการเลือกระหว่างสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ที่จะช่วยให้เขาก้าวหน้าในชีวิตต่อไป เพราะฉะนั้น การบังคับจิตใจของผู้อื่นจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผู้ที่ถูกบังคับนั้น เราควรจะแผ่เมตตาเพื่อที่จะช่วยให้เขามีพลังต่อต้านกิเลสของเขา ไม่ใช่ไปบังคับเขาไม่ให้มีกิเลสเลย เราจะแผ่เมตตาให้เขามีพลังต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ หรือให้เขามีความสุขมากขึ้นได้ แต่อย่าแผ่ให้เขามีความคิดเหมือนเรา เช่น ขอให้เขามีความสุขมากขึ้นได้ แต่อย่าแผ่ให้เขามีความคิดเหมือนเรา เช่น ขอให้พวกคอมมิวนิสต์มีแต่ความคิดเหมือนพวกฝ่ายเสรี จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน ถ้าแผ่เช่นนั้นถือว่าเป็นการบังคับจิตใจและเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

ทฤษฎีที่ได้เรียนไปนี้ก็คงจะเป็นทฤษฎีต่อไปเรื่อยๆ ถ้าขาดการปฏิบัติทฤษฎีเฉยๆ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนได้นำเอาไปทดลองและฝึกปฏิบัติดู แต่การทดลองนั้นไม่ใช่เป็นเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น จะต้องอดทนและพยายามฝึกฝนทดลองบ่อยๆ จึงจะได้ผลแล้วเราจึงจะเปลี่ยนจากมนุษย์ที่มีกิเลส ที่เห็นแก่ตัว เป็นมนุษย์ที่มีปัญญาและมีความรักความเมตตา อันจะทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น