วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับของการกระทำ

มนุษย์เราไม่ควรอยู่นิ่งเฉย เราควรปฏิบัติหน้าที่ของเรา และทำงานของเราให้ดีที่สุด ตอนนี้มาถึงตอนที่สำคัญคือ เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ผลของการกระทำนั้นกลับมาถึงเรา เราจะเห็นกันอยู่บ่อยๆ แล้วว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบมากก็มักจะมีเรื่องกลุ้มใจมาก การกระทำของเขาทำให้เกิดกรรมที่กลับมาถึงเขา ซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความสุข บางครั้งก็เกิดความทุกข์ แต่ส่วนใหญ่มักจะทำให้เกิดปัญหาที่ทำให้ปวดหัว กลุ้มอกกลุ้มใจอยู่บ่อยๆ มนุษย์ยิ่งทำงานยิ่งมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็ยิ่งมัดตัวเองแน่นขึ้น จนกระทั่งเราไม่มีความอิสระเหลืออยู่เลย ทำอย่างไรเราจึงจะมีความอิสระจากการกระทำของเราอย่างแท้จริง

คำตอบนั้นง่ายมาก หากว่าเราเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันแล้ว เราก็จะสามารถเป็นแบบพระพุทธองค์ คือเราสามารถที่จะกระทำสิ่งใดๆ โดยที่ไม่มีผลของกรรมกลับมามัดตัวเรา เราจะมีความอิสระอย่างเต็มที่ เราจะสร้างนิพพานหรือสวรรค์ในตัวเรา ในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ ความสุขที่แท้จริงจะเป็นเพียงทรัพย์สมบัติของเรา ซึ่งแท้จริงแล้วทรัพย์สมบัตินี้เป็นของเราทุกคน เพียงแต่รอให้เราไปเอามาเท่านั้น

คำตอบก็คือ จงอย่ายึดมั่นในผลที่เราจะได้จากการกระทำของเรา

เคล็ดลับของการกระทำก็มีเพียงแค่นี้ เราลองพิจารณากันเสียหน่อยว่า คำตอบนี้มีความหมายอย่างไรบ้าง และทำไมมันจึงให้ความอิสระแก่เรา เราได้เห็นกันแล้วว่า เจตนานั้นคือกรรมดีหรือไม่ดี ถ้าเจตนานั้นเห็นแก่ตัวก็จะเป็นกรรมไม่ดี ในการกระทำสิ่งใดก็ตาม หากว่าเรามีเจตนาที่จะได้ผล ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจากการกระทำนั้น ก็จะเป็นการสร้างกรรม ซึ่งจะต้องมีผลกลับมามัดตัวของเรา การมีเจตนาที่จะได้ผลก็คือการยึดมั่นในผลนั่นเอง ดังนั้นเคล็ดลับของการกระทำก็คือ เราจะทำสิ่งใดก็ได้ แต่จงอย่าต้องการสิ่งตอบแทนจากผลของการกระทำของเรา เมื่อเสร็จแล้วก็ให้ปล่อยวางเสีย จงอย่าไปยึดมั่น เราทำงานเพราะเราเห็นว่าเราควรทำ เพราะเราเห็นว่าเป็นหน้าที่ของเรา ไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น การยึดมั่นหรือความต้องการผลตอบแทนนั้น เป็นสิ่งที่จะนำความทุกข์มาสู่ตัวเรา เพราะการยึดมั่นนั้นเป็นการทำให้เราเป็นทาสของผลของการกระทำ หากว่าเราหวังผลอย่างหนึ่ง แต่แล้วเรากลับไม่ได้ตามที่เราต้องการ เราก็เกิดความทุกข์ แน่แหละคือการเป็นทาส เราจะไม่มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่หากว่าเราไม่ยึดมั่นแล้ว ถ้าผลของการกระทำออกมาดีหรือไม่ดี จิตใจของเราก็จะสงบ สบาย ไม่มีความทุกข์ เราได้หลุดพ้นจากการกระทำของเราแล้ว

มนุษย์เราทำอะไรโดยที่หวังผลตอบแทนเป็นส่วนใหญ่ เราค้าขายกันตลอดเวลา เราค้าขายความรัก เราค้าขายการงาน แม้กระทั่งศาสนาเราก็ค้าขาย เราต้องการสิ่งตอบแทนอยู่ตลอดเวลา เราจึงมีความทุกข์กันอย่างมากมายในโลก อย่างเช่นความรัก เราทุกคนก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่แล้วทำไมหลายคนจึงมีความทุกข์ หากว่าเรามีความรักจริง เราจะไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากคนที่เรารักเลย เราเพียงแต่มีความสุขในความสุขของเขา เขาจะรักเราหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากว่าเรารักจริง เขาจะให้อะไรเราหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ตัวอย่างของการไม่ยึดมั่นเช่นนี้มีอยู่ในโลกของเรา เช่นในสมัยที่พระอาจารย์โยคะนันต์ยังศึกษาอยู่กับอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์โยคะนันต์ยังใจร้อน ตั้งใจจะไปแสวงหาความรู้ที่ภูเขาหิมาลัย แต่พอไปจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อะไร และยังสำนึกผิดรู้ตัวว่า การแสวงหาความรู้จากบุคคลที่รู้นั้นดีกว่าที่จะไปหาจากภูเขา ดังนั้นจึงเดินทางกลับมาหาอาจารย์ แล้วกราบขออภัย กลัวว่าอาจารย์จะโมโหและผิดหวัง แต่อาจารย์ตอบว่า...
“ความโมโหนั้น เกิดขึ้นจากความหวังความต้องการ ฉันไม่ได้มีความต้องการหรือหวังสิ่งใดจากผู้อื่นเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเธอจะทำอะไร ก็จะไม่เป็นการโต้แย้งกับความต้องการของฉัน ฉันจะไม่บังคับเธอเพื่อประโยชน์ของฉันเลย ฉันมีความสุขในความสุขที่แท้จริงของเธอ” นี่แหละ ถ้าเราไม่ได้หวังอะไรเลย เราก็จะไม่มีวันผิดหวัง

ความรักความเมตตาจะเป็นพลังที่ช่วยให้ทำงานโดยไม่ยึดมั่นในผลอบแทนได้ดีที่สุด ทำไมบิดามารดาจึงทำงานและสิ่งต่างๆ เพื่อลูกได้ โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทำไมจึงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูก ทำไมบางครั้งจึงเสี่ยงอันตรายเพื่อลูกได้โดยที่ไม่มีความกลัว เช่น ถ้าเห็นเสือวิ่งมาจะทำร้ายลูกของเรา พ่อแม่ก็จะวิ่งออกไปช่วยลูกโดยที่ไม่คิดถึงชีวิตของตัวเอง ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะท่านต้องการอะไรตอบแทนจากลูกหรือ? เปล่าเลย พ่อแม่ทำเช่นนั้นเพราะความรักอันบริสุทธิ์ เพราะความเมตตา ท่านมีความสุขในความสุขของลูก ความรักและเมตตานี่เองเป็นพลังที่สำคัญในการช่วยให้เราทำงานมากมายโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ดูบุคคลอย่างพระพุทธเจ้าพระเยซู เป็นต้น เพราะความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ จึงได้เสียสละทุกอย่างเพื่อเรา ทำงานโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และผลก็คือการเปลี่ยนชีวิตของมนุษย์เป็นล้านๆ คน

การที่เราไม่หวังผลตอบแทนเลยนั้น บางคนรู้สึกหมดกำลังใจ บางคนถึงกับไม่ทำงานเลย เนื่องจากไม่มีความหวังที่จะได้อะไร จงอย่าหมดกำลังใจ จงลุกขึ้นทำงาน ปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ให้เข้าใจว่า การทำงานนั้นมีประโยชน์ ถึงแม้ว่าตัวเราเองไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร แต่การทำงานของเรามีส่วนที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนก้าวหน้า มนุษย์ทุกคนก็เหมือนส่วนประกอบต่างๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งเครื่องจักรจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อส่วนประกอบแต่ละส่วนทำงานไดดี ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็จะมีผลสะท้อนไปยังผู้อื่น เรามีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดเวลา การกระทำของเรา นอกจากจะเป็นประสบการณ์สำหรับเราแล้ว ก็ยังสร้างประสบการณ์ให้ผู้อื่นได้เรียนรู้และก้าวหน้า ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะอยู่ในชั้นสูงหรือชั้นต่ำ การกระทำของเราก็จะสามารถช่วยให้ผู้อื่นได้ก้าวหน้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจงอย่าท้อใจ ทำงานเรื่อยไป แต่ระวังอย่าไปยึดมั่นในผลของการกระทำนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น